กลับมาอีกครั้งหลังจากไปเผชิญมรสุมชีวิตมาอยู่หลายเดือน โพสต์นี้เราจะมารีวิวประสบการณ์การทำธีสิสที่บริษัทที่อยากจะลืมๆไปจากความทรงจำ
ในโพสต์เก่าของเราที่เขียนไว้ตอนก่อนเริ่มทำธีสิส เราเขียนปิดท้ายไว้ว่า “ตอนนี้คือแอบนึกเบาๆว่าคิดถูกแล้วใช้มั้ยที่คิดมาทำธีสิสที่บริษัท ที่นอกจากไม่รู้ว่าจะหนักหรือยากกว่าการทำธีสิสที่มหาลัยมั้ย แล้วยังต้องคอยติดต่อประสานงานกับที่ปรึกษาทั้งสองคนอีก ซึ่งไม่รู้ความเห็นจะตรงกันหรือขัดแย้งกันแค่ไหนด้วย และยังหลอนว่าจะทำทันมั้ยด้วย” มองจากจุดนี้ย้อนกลับไปจะบอกว่าคิดถูกรึเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเลือกไม่ทำธีสิสที่บริษัท เลือกทำที่มหาลัยดีกว่า T.T จริงอยู่ว่าการทำธีสิสที่บริษัทมันก็มีข้อดีหลายอย่าง เช่นมีเงินเดือนให้ มีประสบการณ์ไปเขียนลง CV และอาจจะได้คอนเนคชั่นดีๆ หรือได้โอกาสเข้าทำงานต่อหลังจบธีสิสก็ได้ แต่ประสบการณ์ของเราที่ผ่านมามันช่างรากเลือดซะเหลือเกิน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเล่านี้ก็เป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัวของเรานะซึ่งก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ลงเอยอย่างนี้ คนอื่นๆที่ทำธีสิสที่บริษัทอาจจะมีประสบการณ์ที่ดีก็ได้ แต่เราขอเล่าจากประสบการณ์ตัวเองว่ามีความยากลำบากอะไรบ้างที่ต้องเจอระหว่างการทำธีสิส ใครที่มาอ่านจะได้รู้ว่าควรเตรียมตัวยังไงถ้าตั้งใจอยากจะทำธีสิสที่บริษัทจริงๆ
หาบริษัทที่รับเราทำธีสิส
ก่อนอื่นเลย ถ้าอยากทำธีสิสกับบริษัทก็ต้องหาบริษัทที่จะรับเราทำธีสิสก่อน ซึ่งปกติหลายๆบริษัทก็จะเปิดรับสมัครนักศึกษามาทำธีสิสในเว็บเค้าอยู่แล้ว สมัครผ่านเว็บได้เลย บางบริษัทก็จะมีหัวข้อและเป้าหมายคร่าวๆของธีสิสลงในประกาศรับสมัครไว้แล้วด้วย บางบริษัทก็ไม่มี เราต้องไปตกลงกับเค้าเองว่าเรามีความสนใจอะไร อยากทำธีสิสเรื่องอะไร และมันเป็นประโยชน์กับตัวบริษัทยังไง สำหรับขั้นตอนนี้ ถ้าก่อนหน้าที่จะสมัครทำธีสิส เราทำงานพาร์ทไทม์หรือฝึกงานที่บริษัทนั้นอยู่แล้ว โอกาสที่เค้าจะรับเราทำธีสิสก็จะมากขึ้น ซึ่งเราอยู่ในกรณีนี้ เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร สมัครที่แรกก็ได้เลย
หาที่ปรึกษา Internal Supervisor
อุปสรรคแรกเลยที่เราเจอคือการหาที่ปรึกษาจากมหาลัย คือการทำธีสิสที่บริษัท เราจะมีที่ปรึกษาสองคน คนแรกคือที่บริษัท (external supervisor) คนที่สองคือที่มหาลัย (internal supervisor) ถ้าเราหาบริษัทที่รับเราทำธีสิสได้แล้ว เราก็จะได้ที่ปรึกษาที่บริษัทมาแล้ว แต่เราต้องไปหาที่ปรึกษาที่มหาลัยให้ได้ก่อน ถึงจะเซ็นสัญญาทำธีสิสที่บริษัทเค้าได้ ซึ่งที่ปรึกษาที่มหาลัยก็ควรมาจาก institute ที่มีหัวข้อการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับงานที่เราทำในธีสิสด้วย เพราะว่าหนึ่ง เค้าจะได้ให้คำปรึกษาเราได้ และสอง ตอนที่เราส่งธีสิส คนจาก institute นั้นจะเป็นคนให้คะแนนธีสิสของเรา นอกจากนั้น institute นั้นก็ต้องเป็น institute ที่สามารถเป็นที่ปรึกษาธีสิสให้นักศึกษาจากคณะที่เราอยู่ได้ด้วย ตอนนั้นเราใช้เวลาหาอยู่นานพอสมควร ต้องเขียนอีเมลล์ไปหาหัวหน้าของ institute ที่สนใจแล้วก็อธิบายว่าฉันได้ข้อเสนอทำธีสิสที่บริษัท ซึ่งงานที่ทำเกี่ยวกับอย่างนี้ๆๆๆ แล้วรอเค้าตอบ จากที่สังเกต เรามีความรู้สึกว่าที่ปรึกษาที่มหาลัยเค้าไม่ค่อยอยากจะรับเป็นที่ปรึกษาให้คนที่ทำธีสิสที่บริษัท เพราะว่ามันอารมณ์เหมือนเป็นการรับงานเพิ่มจากงานที่เป็นของเค้าอยู่แล้ว โดยปกติแล้วที่ปรึกษาที่มหาลัยเค้าก็จะทำงานวิจัยของเค้าเองอยู่แล้ว และบางคนก็จะเอาส่วนหนึ่งของงานวิจัยนั้นมาเป็นหัวข้อธีสิส แล้วหานักศึกษาในมหาลัยมาทำธีสิสเรื่องนั้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเค้าทำงานวิจัยของเค้าเองไปในตัว งานที่เค้าต้องทำก็ลดลง ส่วนนักศึกษาก็ได้หัวข้อไปทำธีสิส เป็นการวินวินทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าเค้ารับเป็นที่ปรึกษาให้นักศึกษาที่ทำธีสิสที่บริษัท งานวิจัยของตัวเค้าก็ไม่ได้ลดลง แถมยังต้องรับภาระมาทำเพิ่มอีก บาง institute ถึงกับเขียนในเว็บเลยว่าไม่รับเป็นที่ปรึกษาให้ธีสิสที่ทำกับบริษัท ด้วยเหตุนี้ การหาที่ปรึกษาที่มหาลัยเลยค่อนข้างเป็นอุปสรรค ยกเว้นแต่ว่าเรารู้จักที่ปรึกษาคนไหนเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วและสามารถขอให้เค้าช่วยเป็นที่ปรึกษาให้เราได้
ณ ตอนนั้น เรากังวลมากว่าจะหาที่ปรึกษาที่มหาลัยไม่ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในใจตอนนั้นเลยคือทำยังไงก็ได้ให้ได้ทำธีสิสที่บริษัท พอมีที่ปรึกษาที่มหาลัยคนนึงตอบตกลงมา เราเลยตอบรับไปเลย ซึ่งสิ่งนี้ก็นำมาซึ่งความปวดหัวอีกมากมายที่ตามมา สาเหตุหลักๆเลยคือเพราะ institute ของที่ปรึกษาคนนี้เป็น institute ที่ซีเรียสมากในหลายๆเรื่อง ความปวดหัวที่เกิดขึ้นก็เช่น
- ในสัญญาทำธีสิสของเราจะมีเอกสารให้ institute ที่มหาลัยเซ็นสัญญาปกปิดความลับด้วย ซึ่ง institute ที่เป็นที่ปรึกษาให้เราก็จะไม่ยอมเซ็น ต้องนัดโทรซูมคุยกันเพิ่มเติมระหว่างเรากับที่ปรึกษาทั้งสองคน สรุปว่าบริษัทต้องไปแก้สัญญาใหม่ ให้ไม่ต้องเซ็นเอกสารปกปิดความลับ (ตอนแรกนึกว่าเค้าจะไม่ให้เราทำธีสิสซะแล้ว)
- ปกติแล้วหลังเริ่มทำธีสิส เราต้องลงทะเบียนธีสิสของเราที่มหาลัย เสร็จแล้วเค้าจะมีกำหนดระยะเวลาสำหรับการทำธีสิสมาให้ซึ่งจะนับจากวันที่ลงทะเบียน ซึ่งเราต้องส่งธีสิสของเราภายในระยะเวลานั้น ไม่งั้นจะโดนปรับตก ต้องไปหาธีสิสเริ่มทำใหม่ ซึ่งจากที่เราถามๆเพื่อนหลายๆคนที่ทำธีสิสที่ institute อื่นๆมา เค้าบอกว่า institute เค้าไม่ได้ซีเรียสเรื่องวันลงทะเบียน เริ่มทำธีสิสไปหลายๆเดือนก่อนแล้วค่อยลงทะเบียนก็ได้ หรือหลายๆคนก็ไปลงทะเบียนเอาตอนที่ทำเสร็จแล้วนู่นเลย แบบทำให้เสร็จก่อน แล้วก็ลงทะเบียน แล้วก็ส่งเลย อะไรอย่างนี้ แต่ institute ที่เป็นที่ปรึกษาให้เรานั้นซีเรียสมาก ต้องลงทะเบียนภายในหนึ่งเดือนหลังเริ่มทำ ทำให้พอใกล้ๆถึงกำหนดส่ง มันมีความเครียดมาบีบคั้นเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า
- ด้วยความที่งานธีสิสที่เราทำนั้นใช้ความรู้หลายๆศาสตร์มารวมกัน ที่ปรึกษาที่บริษัทก็เชี่ยวชาญศาสตร์นึง institute ของที่ปรึกษาที่มหาลัยก็เชี่ยวชาญอีกศาสตร์นึง ทำให้ความคาดหวังจากบริษัทกับจากมหาลัยไปคนละทาง บางอย่างที่บริษัทให้ทำ institute ที่มหาลัยอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ ซึ่งตัวที่ปรึกษาที่บริษัทก็ให้ทำเยอะมาก เอาอะไรมาให้อ่านเยอะมากกก จนแค่ศาสตร์ของทางฝั่งบริษัทตัวเดียวก็กินเวลาหาข้อมูลไปเยอะมากแล้ว ไปๆมาๆเลยแทบจะไม่มีเวลาไปหาอ่านข้อมูลในฝั่งของศาสตร์ของ institute ของที่ปรึกษาที่มหาลัยเลย แต่คนที่ให้คะแนนธีสิสเรานั้นเป็นคนจาก institute ของมหาลัยน่ะสิ แล้วด้วยความที่ institute นี้เป็น institute ที่ซีเรียส เค้าเลยจริงจังมากกับการที่เนื้อหาของธีสิสของเราต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ของ institute นั้นแบบเจาะลึก (ในขณะที่บาง institute ที่ไม่ได้ซีเรียส ถ้าเค้าเป็นที่ปรึกษาให้เราในกรณีที่เราทำธีสิสที่บริษัท เค้าจะไม่ได้สนใจมากว่าเนื้อหาในธีสิสของเราเกี่ยวกับ institute ของเค้ามากแค่ไหน แค่จะติดตามผลเป็นระยะๆ และเน้นให้เราทำวิจัยอย่างถูกต้องตามแบบแผนแค่นั้น) ช่วงท้ายๆเราเลยต้องเค้นเอาแรงกายแรงใจที่ยังเหลืออยู่อย่างน้อยนิดมาเพื่อมาหาข้อมูลของศาสตร์ทางฝั่งมหาลัยมาเสริมในตัวธีสิสเท่าที่พอทำได้ ซึ่งมันเป็นวิชาที่ยากมากๆ ด้วยความที่พลังกายพลังใจแทบหมดแล้ว แต่ยังต้องมาหาอ่านข้อมูลที่ยากและตรงกันข้ามกับศาสตร์ของฝั่งบริษัทแบบลิบลับอีก ทำให้ช่วงท้ายๆของธีสิสเป็นช่วงที่เราเครียดและวิตกกังวลมากๆแบบตลอดเวลา บางช่วงเครียดจนกินไม่ได้ นอนหลับไม่ลง หัวใจเต้นแรงตูมๆอยู่ในอกติดต่อกันอยู่สองสามวัน หลายๆช่วงคือเครียดจนอยากจะเลิกทำเลิกเรียนซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย T.T สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น หรืออย่างน้อยก็จะไม่ย่ำแย่ขนาดนี้ถ้าตอนนั้นเราหาที่ปรึกษาในมหาลัยจาก institute ที่ตรงกันกับศาสตร์ของที่ปรึกษาที่บริษัทได้ หรือหาที่ปรึกษาในมหาลัยจาก institute ที่ไม่ซีเรียสได้ ในกรณีนี้เราก็ยังใช้ทั้งสองศาสตร์นี้ในงานธีสิสของเรา แต่ว่าไม่จำเป็นต้องไปทำวิจัยวิเคราะห์เจาะลงลึกไปในศาสตร์ที่สอง แค่โฟกัสที่ศาสตร์แรกแล้วแค่เลือกเอาความรู้ที่ต้องใช้จากศาสตร์ที่สองมาใช้ในงานก็พอ
สรุปแล้วไปๆมาๆ ความเครียด ความวิตกกังวล ความปวดหัวทั้งหมดทั้งมวลในการทำธีสิสของเรามาจากที่ปรึกษาและ institute ที่มหาลัยทั้งนั้นเลยนี่หว่า (เพิ่งสังเกตตอนที่เขียนโพสต์นี้นี่แหละ) 55555555 เรื่องตัวงานที่ทำไม่ใช่ประเด็นหลักของความเครียดเท่าไหร่ ประเด็นสำคัญหลักๆที่เป็นต้นตอของความเครียดใหญ่ๆของเราในการทำธีสิสครั้งนี้จะเป็น
- เราต้องทำงานให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา ข้อนี้ไม่รู้ว่าบริษัทอื่นเป็นไง แต่บริษัทของเรา ถ้าทำธีสิสไม่เสร็จภายในระยะเวลานั้นก็ต่อสัญญาให้ได้ อย่างที่ปรึกษาที่บริษัทของเราก็บอกว่าการต่อสัญญาที่บริษัทนั้นไม่ยุ่งยาก แต่ในกรณีของเรานั้น ด้วยความที่ institute ของที่ปรึกษาที่มหาลัยซีเรียสและให้เราลงทะเบียนธีสิสตั้งแต่ภายในหนึ่งเดือนหลังเริ่มทำเลย ทำให้ยังไงเราก็ต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลานั้นอยู่ดี เพราะเค้านับวันกำหนดส่งธีสิสจากวันที่ลงทะเบียน และขอเลื่อนออกไปไม่ได้ด้วย นอกจากจะมีเหตุผลที่สำคัญจริงๆ
- ต้องไปอ่านวิจัยทางศาสตร์ของที่ปรึกษาที่บริษัท และยังต้องไปหาอ่านวิจัยทางศาสตร์ของ institute ของที่ปรึกษาที่มหาลัยอีก ไปๆมาๆ เหมือนกับต้องทำธีสิสสองหัวข้อไปพร้อมๆกัน
- ด้วยความที่โดนบังคับให้รีบลงทะเบียนตั้งแต่เริ่มทำธีสิสตอนแรก เลยกดดันและเครียดมากๆตอนที่ใกล้ถึงวันกำหนดส่งงาน ถ้าไม่มีเดดไลน์มาจ่อตูดก็คงสบายขึ้นเยอะ
เพราะฉะนั้น จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมา ขอแนะนำอย่างยิ่งสำหรับใครที่จะทำธีสิส ไม่ว่าจะที่บริษัทหรือที่มหาลัย ว่าตัวที่ปรึกษาและ institute ของที่ปรึกษาที่มหาลัยสำคัญมากๆๆ ให้ถามเพื่อนถามรุ่นพี่ในคณะเยอะๆว่ามีใครเคยรีวิวมั้ยว่า institute ไหนเป็นยังไง หรือใครเคยทำธีสิสที่ institute ไหนแล้วประสบการณ์เป็นยังไงบ้าง ตอนที่คุยกับที่ปรึกษาตอนสัมภาษณ์ตอนแรกก็สำคัญ ต้องลองชวนคุยเยอะๆ ถามเยอะๆ ให้พอประเมินได้ว่าที่ปรึกษาเราเป็นคนยังไง เป็นคนจริงจัง หรือชิวๆ และเค้าดูเข้ากับเราได้มั้ย เพราะอย่างไรก็ตาม เรารู้สึกว่าไม่ว่าจะในการทำธีสิส การทำงาน หรืออะไรก็ตามแต่ ตัวคนที่เราต้องใช้เวลาอยู่ด้วยสำคัญกว่าความยากของตัวงานมาก อย่างที่เค้าบอกว่าคับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยากนั่นแหละ
สรุปแล้ว สิ่งที่เราจะทำถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คือจะทำธีสิสให้เสร็จก่อน แล้วค่อยฝึกงาน จะธีสิสในมหาลัยหรือนอกมหาลัยก็ได้แล้วแต่ แต่ส่วนตัวถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะทำธีสิสในมหาลัย เลือกที่ๆสบายๆแต่ได้ฝึกทักษะที่เราสนใจ ถ้าให้ดีคือหางานเสริมทำในมหาลัยในระหว่างที่เรียนอยู่ไปด้วย พยายามเลือกหางานที่ได้ฝึกทักษะที่น่าสนใจ พอถึงเวลาที่ต้องทำธีสิส เราจะได้มีคอนเนคชั่นในมหาลัยใน institute ที่เราทำงานอยู่แล้ว จะได้หาหัวข้อทำธีสิสได้ง่ายๆ หรือถ้าอยากจะทำธีสิสที่บริษัทข้างนอกก็จะได้หา internal supervisor ได้ง่ายๆจาก institute ที่เราเคยทำงานมา แล้วพอเสร็จธีสิสแล้วค่อยหาฝึกงานที่บริษัทข้างนอก หาบริษัทและตำแหน่งที่มีโอกาสรับเราเข้าทำงานต่อหลังฝึกงานเสร็จ ระหว่างที่ทำธีสิสกับฝึกงานก็ปล่อยวิชาที่ต้องสอบที่มหาลัยที่ง่ายๆเหลือทิ้งไว้ตัวนึง จะได้ยังมีสถานะนักเรียนอยู่ เพราะว่าถ้าไม่ได้เป็นนักเรียนจะฝึกงานไม่ได้ พอฝึกงานเสร็จก็ค่อยไปสอบวิชานั้น พอสอบผ่านแล้วก็จะถือว่าเรียนจบ จะได้เข้าทำงานที่บริษัทนั้นต่อได้เลย ถ้าเกิดว่าเราโอเคกับตัวบริษัทและตำแหน่งที่ได้อะนะ ถ้าเกิดว่าไม่โอเคหรือไม่มีตำแหน่งก็หาสมัครที่ใหม่เอาอีกที อย่างน้อยการทำธีสิสก่อนฝึกงานก็เป็นการทำสิ่งที่ยากที่สุดให้ผ่านไปก่อน พอฝึกงานก็จะไม่เครียดเท่าแล้ว เพราะไม่ต้องเขียนเล่มส่งให้ทันตามกำหนด พอไม่เครียดก็จะมีเวลาและมีกะจิตกะใจเตรียมตัวหาสมัครงานและสัมภาษณ์งานด้วย อีกอย่างตอนฝึกงานเรารู้วันที่จะฝึกเสร็จชัวร์ๆ ตอนทำธีสิสมันมีโอกาสที่เราจะทำช้าจนต้องขอเลื่อนเวลาออกไป ทำให้มีความไม่แน่นอนว่าจะเรียนจบเมื่อไหร่ และจะเริ่มทำงานได้เมื่อไหร่
หลังจากสามสี่เดือนที่เต็มไปด้วยความเครียดและความวิตกกังวลที่กัดกินใจจนสุขภาพจิตเกือบพังพินาศผ่านไป ในที่สุดเราก็ได้อีเมลล์แจ้งเตือนมาจากมหาลัยว่าธีสิสของเราผ่านแล้ว และภูเขาหิมาลัยที่กดทับเรามาตลอดช่วงเวลานั้นก็ถูกยกออกจากอก ในที่สุดก็หลุดพ้นและเลิกวิตกกังวลแบบถาวรได้ซักที จะได้เริ่มต้นหางานแบบจริงๆจังๆแบบไม่มีห่วงได้ซักทีด้วย ตอนที่ยังทำธีสิสอยู่นั้น ด้วยความเครียดมหาศาลทำให้เรามานั่งทบทวนชีวิตใหม่ว่าจากนี้ต่อไปแล้วเราต้องการอะไรกันแน่ อะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต ในชีวิตนี้เราก็ได้ไปเที่ยวไปเห็นอะไรมาเยอะพอประมาณแล้ว จนตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะไปเที่ยวไหนเป็นพิเศษแล้ว อยากจะมีชีวิตเรียบง่ายๆ ในที่ๆอยู่แล้วสบายใจ ทำงานเก็บเงิน มี work-life-balance สุดสัปดาห์ไปเที่ยวพักผ่อนพอเป็นพิธี (เหมือนชีวิตตอนที่ฝึกงาน) ก่อนหน้านั้นเวลาเราคิดถึงเมืองที่เราอยากไปใช้ชีวิตอยู่ตอนทำงานจะไม่เคยคิดถึงเมืองไหนเป็นพิเศษ แต่ตอนนั้นเหมือนมีเสียงในหัวพูดกับตัวเองว่า เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว เมืองที่เธอชอบและอยากจะไปอยู่มาตลอดก็คือเมืองเบอร์ลิน ตอนนี้ได้เวลาแล้ว ถ้าไม่หาทางไปอยู่ตอนนี้จะได้ไปอยู่ตอนไหน 5555 ตั้งแต่นั้นมาเลยปักหมุดเลยว่าจะหางานในเมืองเบอร์ลินเป็นหลัก แล้วก็ตัดสินใจหอบข้าวของย้ายไปหาบ้านเอาดาบหน้าที่เบอร์ลินเลย 555 และอีกอย่างที่เราคิดถึงอยู่บ่อยๆมากตอนที่ทำธีสิสอยู่คือครอบครัวที่ไทย คือมีความรู้สึกว่าในชีวิตนี้เราได้เรียนสูง ได้ไปเที่ยวไปเห็นอะไรมาเยอะแยะมากมาย แต่ว่าเราเสียช่วงเวลาในการใช้ชีวิตกับพ่อแม่ไปเยอะมาก และเสียเวลาในการเติบโตไปพร้อมกับน้องชายไปค่อนชีวิตของน้อง ไม่ได้อยู่กับน้องตอนน้องเติบโตจากวัยเด็กไปเป็นวัยรุ่น ในความคิดของเรา ยังคิดว่าน้องชายยังเป็นเด็กอยู่เสมอ แต่พอกลับไทยไปทีไรน้องก็จะโตขึ้นเยอะมากจนเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ซึ่งพอจะเล่นกับน้องเหมือนตอนยังเป็นเด็กน้องก็ไม่ค่อยเล่นด้วยแล้ว ยิ่งก่อนหน้านั้นเพิ่งดูหนังเรื่อง Everything Everywhere All at Once ที่ตัวหนังพูดถึง multiverse มาด้วย เราเลยมานั่งนึกบ่อยๆว่าในอีกโลกคู่ขนานที่เราไม่ได้ย้ายมาเรียนม.ปลายที่กรุงเทพ ที่เราไม่ได้เรียนสูงๆแต่ว่าได้อยู่บ้านกับพ่อแม่กับน้อง ชีวิตเราจะเป็นยังไงน้า เราจะมีความสุขมั้ยน้า ช่วงท้ายๆของการทำธีสิส มีหลายช่วงที่เราถึงกับขนาดคิดว่าอยากกลับไทยเลย กลับไปอยู่ในบ้านเกิดของเรา กับพ่อแม่ กับน้อง… แต่พอรู้ว่าธีสิสผ่านแล้วก็ยังอยากหางานทำอยู่ที่เยอรมันต่อแหละ อย่างน้อยก็อยากทำงานอยู่ที่นี่จนได้พาสปอร์ตเยอรมันก่อนแล้วค่อยคิดอีกทีว่าอยากกลับไทยมั้ย แต่ว่าเราอยากเปลี่ยนสายในการทำงาน จากที่เรียนวิศวะมา อยากจะเปลี่ยนไปทำงานแนว IT เพื่อว่าจะได้มีโอกาสทำงานที่สามารถทำแบบออนไลน์ได้ เผื่อจะได้มีโอกาสแบบทำงานสามเดือนอยู่เยอรมัน อีกสามเดือนอยู่ไทย สลับๆกัน อะไรอย่างงี้ได้ ซึ่งตอนนี้เราก็อยู่ในช่วงหางานอยู่ ตอนนี้ตำแหน่งที่สมัครไปเกือบทั้งหมดเป็นงานเกี่ยวกับ IT ซึ่งก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าจะหาได้มั้ยเพราะว่าเราก็ไม่ได้เรียนมาแบบตรงๆ แล้วความรู้ IT กับประสบการณ์การเขียนโปรแกรมก็ไม่ได้เยอะ ก็ต้องรอดูต่อไป เอาเป็นว่าขอจบโพสต์นี้แค่นี้ก่อน เดี๋ยวโพสต์ต่อไปเราจะมาเล่าประสบการณ์ตั้งแต่เรียนจบและย้ายไปอยู่เมืองเบอร์ลินจนถึงตอนนี้ให้ฟัง