ชีวิตช่วงฝึกงาน

วันที่ 1 ตุลาคม เราขนกระเป๋าเดินทางสองใบและกระเป๋าสะพายหลังหนึ่งใบขึ้นรถไฟจากเมือง Karlsruhe เดินทางมายังเมือง Immenstadt im Allgäu ที่เป็นเมืองที่เราจะมาฝึกงานที่บริษัท Bosch เป็นระยะเวลาหกเดือนเต็ม เจ้าของห้องเช่าห้องใหม่ของเรามารอรับที่สถานีรถไฟ Immenstadt พอเรามาถึงก็ขนของขึ้นรถนั่งไปบ้านใหม่ด้วยกันเลย บ้านใหม่ที่เรามาเช่าอยู่เป็นระยะเวลาหกเดือนนี้เป็นห้องชุดใต้หลังคาที่อยู่ที่ชั้นบนสุดของบ้านหลังเดียวกันกับที่เจ้าของห้องกับครอบครัวก็อาศัยอยู่ ในห้องชุดมีห้องนอน ห้องน้ำ แล้วก็อีกห้องที่เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ครัว และห้องกินข้าว นอกจากนี้ยังมีเฟอร์นิเจอร์มาให้แล้วด้วย ห้องนี้เป็นห้องเช่าแรกตั้งแต่เรามาอยู่ที่เยอรมนีเมื่อเจ็ดปีที่แล้วเลยที่เราเช่าอยู่คนเดียวทั้งหมด ไม่ได้แชร์ห้องน้ำห้องครัวกับใคร และยังเช่าด้วยเงินเดือนของตัวเองที่มาจากการฝึกงานด้วย สิ่งที่พิเศษสุดๆของห้องเช่าห้องนี้ก็คือวิวจากหน้าต่างบานใหญ่ในห้องนั่งเล่นที่อลังการงานสร้างมาก มองออกไปเห็นวิวธรรมชาติและชนบทของเยอรมนีที่กว้างไกล และเห็นไกลไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ที่อยู่ในฉากหลังเลย สวยมากๆ เป็นอะไรที่ไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่าในชีวิตเราจะได้มาเช่าห้องอยู่คนเดียวในห้องที่วิวสวยขนาดนี้ ตอนที่มาถึงคือดีใจเนื้อเต้น ถ่ายรูปรัวๆ นั่งดูวิว ดูดดื่มกับบรรยากาศ ดูดดื่มกับค่ำคืนแรกในห้องเช่าห้องใหม่แห่งนี้อย่างเต็มที่ เข้านอนเสร็จพอตอนเช้าก็ยังรีบตื่นเดินออกมาห้องนั่งเล่นมาดูวิวยามเช้ากับถ่ายรูปรัวๆอีก เห่อมากๆ แต่ก็อิ่มเอิบใจมากๆด้วย

จริงๆแล้วตอนที่ได้รับตอบรับจากบริษัทให้ไปฝึกงาน เค้าบอกว่าให้เริ่มงานวันที่ 1 ตุลาคม แต่ไปๆมาๆ เค้าขอเลื่อนเป็นเริ่มงานวันที่ 15 ตุลาคมแทน เราเลยมีเวลาว่างสองอาทิตย์เต็มๆให้ปรับตัวเข้ากับบ้านใหม่ เมืองใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ วิถีชีวิตใหม่ และมีเวลาสำหรับไปสำรวจพื้นที่รอบๆด้วย ช่วงแรกๆเราก็ขึ้นรถเมล์เที่ยวแถวใกล้ๆหรือไม่ก็เดินเท้าเอาบ้าง แต่ผ่านไปซักพักพอหาซื้อจักรยานมือสองจากเว็บ ebay-kleinanzeige มาได้เราก็ขี่จักรยานเที่ยว ซึ่งแถวๆนั้นก็จะอารมณ์แบบชนบท มีแต่หมู่บ้านเล็กๆ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ แล้วก็ภูเขาแม่น้ำ วัว ม้า และธรรมชาติสวยงาม เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากเจ็ดปีที่ผ่านมาที่อยู่แต่ในเมืองมาตลอด มาปลีกวิเวกอยู่ในชนบทอันเงียบสงบและธรรมชาติสวยงามแทนบ้าง

เมืองที่เราอยู่ที่ชื่อว่า Immenstadt ถึงจะมีขนาดใหญ่ระดับเป็นเมือง แต่ก็เป็นเมืองที่เล็กมากๆๆๆ เดินไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็น่าจะทั่วแล้ว แต่จากที่ไปเดินเที่ยวเมืองอื่นๆแถวๆนั้นมาเรารู้สึกว่าเมือง Immenstadt นี้สวยสุดละ คือเหมือนจะเป็นเมืองเดียวในแถบใกล้ๆนั้นเลยที่มีจัตุรัสกลางเมืองเป็นกิจจะลักษณะและรอบๆจัตุรัสกลางเมืองนั้นก็ยังมีตึกโบราณเก่าๆสวยๆสีสันสดใสน่ารักๆตั้งอยู่อีกด้วย ซึ่งบางเสาร์อาทิตย์ก็จะมีตลาดนัดมาตั้งตรงจัตุรัสนั้นด้วยให้เราไปเลือกซื้อผักผลไม้ เนื้อสัตว์ ชีส และผลิตภัณฑ์การเกษตรต่างๆจากเกษตรกรโดยตรงเลยได้ ไม่ต้องไปซื้อที่ซุเปอร์มาร์เก็ต พูดถึงเรื่องซื้อของแล้ว ถึง Immenstadt จะเป็นเมืองเล็ก แต่ตั้งแต่อยู่มาก็รู้สึกว่าสามารถหาซื้อทุกอย่างที่ต้องการได้นะ แต่จะไม่ค่อยมีแหล่งบันเทิง อย่างบาร์ก็มีแค่ไม่กี่แห่ง โรงหนังก็ไม่มี ร้านอาหารแฟรนไชส์ต่างๆก็ไม่มีเลย แหล่งบันเทิงของคนแถวนี้ก็คงจะเป็นภูเขา ทะเลสาบ กับธรรมชาติรอบๆนั่นแหละ 55 หรือไม่ก็ต้องนั่งรถไฟไปเมืองใกล้ๆเอา ยังดีที่เมืองนี้มีสถานีรถไฟอยู่และรถไฟส่วนใหญ่ที่วิ่งผ่านเส้นนี้ก็แวะจอดที่นี่ ทำให้จากเมืองนี้เราสามารถเดินทางโดยรถไฟไปยังที่อื่นๆได้สะดวก

สามสี่วันก่อนวันเริ่มงาน เราวิดีโอคอลล์คุยกับหัวหน้าจากที่บ้านเพื่อนัดแนะเรื่องต่างๆ ซึ่งก็มีเรื่องที่ทำให้ช็อคคือสถานที่ทำงานนั้นเป็นคนละที่กับที่เราเข้าใจ!!! แต่ก็คืออยู่ไกลจากบ้านเราพอๆกัน 55555 โล่งอกไป 555 คือบริษัท Bosch สาขาที่เราทำงานจะชื่อสาขาว่า Blaichach ที่มีที่ตั้งหลักอยู่ที่เมือง Blaichach แต่ว่าก็จะมีที่ตั้งอีกที่ที่สร้างขึ้นมาทีหลังอยู่ที่เมือง Immenstadt แต่ก็ยังเป็นส่วนนึงของสาขา Blaichach อยู่ เวลาพูดถึงสาขา Blaichach เค้าเลยจะหมายถึงทั้งสองตำแหน่งนี้ ซึ่งเราก็รู้ว่าตรงแถวนั้นมันมีบริษัทนี้ตั้งอยู่ในสองตำแหน่งนี้ แต่เวลาเราเข้ากูเกิลดูประกาศหางานของ Bosch เราจะเห็นบางตำแหน่งงานลงประกาศว่าที่ตั้งที่ Immenstadt บางตำแหน่งงานก็ลงว่า Blaichach และประกาศหางานอันที่เค้ารับเราเค้าก็เขียนว่า Blaichach เลยทำให้เข้าใจผิด แต่โชคดีที่บ้านเราตั้งอยู่ระหว่างสองที่ตั้งนี้พอดี พระเจ้าเข้าข้างอีกแล้ว 55

ตั้งแต่ตกลงรับฝึกงานที่นี่ เราก็ตั้งใจไว้ว่าจะขี่จักรยานไปกลับที่ทำงานเอา ปรากฏว่าตัวบริษัทที่เราฝึกงานนั้นอยู่ห่างจากบ้านเราไปประมาณสี่กิโลกว่าๆ ซึ่งเราไม่เคยขี่จักรยานไปกลับรายวันด้วยระยะทางขนาดนี้เลย มีแอบคิดว่าหรือจะนั่งรถเมล์ไปกลับดี แต่ว่าเพราะว่าค่าตั๋วรถเมล์แถบนี้ราคาสูงถึงประมาณเที่ยวละ 120 บาท ซึ่งถึงแม้จะเทียบกับค่าครองชีพที่เยอรมนีแล้วก็ยังถือว่าแพง T-T แถมนอกจากนี้รถเมล์ที่วิ่งผ่านบ้านเราไปจอดหน้าที่ทำงานตรงๆยังมีแค่หนึ่งเที่ยวต่อวัน และออกจากป้ายบ้านเราตั้งแต่หกโมงสี่สิบนาทีอีก เช้ามาก T.T รถอีกเที่ยวที่ออกช้ากว่านี้ก็ไปจอดไกล ต้องเดินต่อเข้าไปตรงที่ทำงานอีกระยะหนึ่งอีก เลยยึดเอาแผนเดิม คือเน้นขี่จักรยานไปกลับแทน ประหยัดเงินแถมไม่ต้องกลัวตกรถ แต่ว่าพอได้ขี่จริงๆแล้วก็โอเคอยู่ ค่อยๆขี่ไปเรื่อยๆก็ถึงที่ทำงานอย่างไม่เหนื่อยมาก และที่สำคัญคือวิวระหว่างทางจากบ้านไปที่ทำงานนั้นก็สวยมากๆ ขี่ไปดูวิวไปเรื่อยๆ ทำให้ลดความเหนื่อยลงไปได้เยอะเลย (แต่บางวันจะเหม็นขี้วัวมาก เพราะถนนตัดผ่านทุ่งหญ้าที่ชาวไร่ปล่อยวัวมากินหญ้าทั่วไป)

วันแรกของการทำงานเราก็ขี่จักรยานไปถึงยังทางเข้าหลักของบริษัทตั้งแต่เช้าตามเวลาที่นัดกับหัวหน้าไว้ พอเดินผ่านประตูเข้าไปก็เห็นเด็กฝึกงานคนอื่นอีกสองสามคนมานั่งๆยืนๆรออยู่ อารมณ์เหมือนเปิดเทอมใหม่เลย 555 แล้วเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับก็ให้เราเซ็นยืนยันว่าตรวจโควิดจากบ้านมาแล้วว่าผลเป็นลบ (เจ้านายบอกล่วงหน้าระหว่างที่วิดีโอคอลล์เมื่อสามสี่วันที่แล้วแล้วว่าให้ไปหาซื้อชุดตรวจโควิดที่ซุเปอร์มาร์เก็ตมาตรวจเองที่บ้านก่อนไปทำงานวันแรกด้วย แล้วพอเข้าทำงานแล้วเค้าจะแนะนำให้ตรวจเองที่บ้านตอนเช้าก่อนไปทำงานทุกวันด้วย แต่ว่าจะไม่มีการเช็ค และบริษัทก็จะมีชุดตรวจฟรีให้หยิบกลับไปบ้านได้ด้วย) แล้วก็จะต้องเข้าไปถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวพนักงานที่ห้องด้านหลัง ก่อนจะออกมานั่งรอหัวหน้ามารับ ซึ่งเด็กฝึกงานแต่ละคนก็จะมีหัวหน้าคนละคนแล้วแต่แผนกที่ตัวเองอยู่ (หรือจริงๆอาจจะต้องเรียกว่าที่ปรึกษามากกว่ารึเปล่า แต่ขอเรียกว่าหัวหน้าละกัน ฟังดูคุ้นปากดี) ระหว่างที่นั่งรอหัวหน้าอยู่เราก็คุยกับเด็กฝึกงานหน้าใหม่คนเยอรมันที่นั่งข้างๆ คุยไปคุยมาปรากฏว่าเค้าเรียนป.ตรีคณะเดียวกันกับเราที่มหาลัยเดียวกันกับเราด้วย 555 แต่ยังเม้าไม่เสร็จหัวหน้าก็มารับขึ้นไปที่ทำงานแล้ว

ช่วงที่เรามาฝึกงานนี้ บริษัทยังโดนผลกระทบจากโควิดอยู่ พนักงานหลายคนยังคงถูกลดจำนวนวันทำงานให้มาทำแค่ไม่กี่วันต่อสัปดาห์ บางคนก็สามารถทำงานจากที่บ้านเป็น home office ได้ ทำให้ออฟฟิศจะดูโล่งๆไม่ค่อยมีคน นอกจากการลดจำนวนการทำงานลงแล้ว บริษัทยังมีมาตรการบังคับให้พนักงานใส่หน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นตอนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง กับตอนที่อยู่นอกอาคาร และการพูดคุยประชุมต่างๆก็จะแนะนำให้ทำผ่านวิดีโอคอลล์กัน นอกจากนี้เค้ายังแบ่งเวลาพักกลางวันออกเป็นช่วงๆ แบบช่วง 11:00-11:30 ให้ตึกหนึ่งพัก ครึ่งชั่วโมงถัดไปตึกสองพัก ถัดไปเรื่อยๆจนครบทุกตึก ไม่ได้ให้ทุกคนพักกลางวันเวลาเดียวกัน อะไรอย่างนี้ แล้วการพักกลางวันก็คือการเดินไปซื้อข้าวกลางวันที่โรงอาหารใส่กล่องแล้วก็เดินกลับไปกินที่ตึกที่โต๊ะทำงานของตัวเอง จะไม่มีการนั่งกินข้าวที่โรงอาหาร ที่บริษัทนี้เค้าจะกำหนดเวลาพักกลางวันให้เป็นเวลา 45 นาที ซึ่งจะถูกหักออกจากเวลาทำงานแต่ละวันโดยอัตโนมัติ คือตอนเรามาทำงานกับตอนกลับบ้านเราจะต้องแตะบัตรประจำตัวกับเครื่องแตะบัตรตรงประตูทางเข้าออกแผนก ซึ่งระยะเวลาทั้งหมดระหว่างการแตะบัตรสองครั้งจะถูกหัก 45 นาทีนี้ออกไปแล้วก็จะถูกบันทึกเป็นเวลาทำงานของวันนั้นของเรา ซึ่งตามกฏหมายแล้วไม่พักก็ไม่ได้นะ เพราะกฏหมายกำหนดว่าในแต่ละวัน ถ้าเราทำงานเกินวันละหกชั่วโมง เราจะต้องมีการพักกลางวันอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

ในส่วนของระยะเวลาการทำงานต่อสัปดาห์นั้น บริษัทนี้กำหนดให้เป็น 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ 7 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเราจะทำมากกว่านี้ก็ได้ ตอนเราแตะบัตรเข้าออก เครื่องก็จะบันทึกเวลาทำงานทั้งหมดเอาไว้ ถ้าเราทำงานเกินเวลาสะสมไปเยอะๆ เราก็สามารถเอาเวลาที่เกินนั้นไปเป็นวันหยุดในภายหลังได้ ที่ Bosch นี้เค้าจะมีโมเดลการทำงานที่เรียกว่า Gleitzeit ในภาษาเยอรมัน ก็คือเค้าจะกำหนดว่าพนักงานจะเริ่มงานและเลิกงานตอนกี่โมงก็ได้ในช่วงเวลา 6:30-18:00 แต่ว่าในช่วงเวลาหลักที่เค้าเรียกว่า Kernarbeitszeit ที่เป็นช่วง 9:00-15:00 ทุกคนจะต้องอยู่ที่ทำงาน หรือไม่ก็ต้องกำลังทำงานที่ home office แล้วและสามารถติดต่อคุยงานได้ ซึ่งอันนี้เป็นอะไรที่ดีมากสำหรับเรา เพราะจะได้ตื่นไปทำงานกี่โมงก็ได้ และจะได้ทำงานเยอะๆเก็บชั่วโมงไปเป็นวันหยุดในภายหลังได้ ไม่รู้ว่าที่ไทยมีบริษัทไหนทำแบบนี้ได้มั้ย

ในส่วนของพักกลางวัน ที่บริษัทจะมีโรงอาหารหนึ่งแห่งเป็นของตัวเอง ซึ่งแต่ละวันตอนพักกลางวันจะมีเมนูให้เลือกสองถึงสามเมนู แล้วก็จะมีของหวานสองสามอย่าง กับสลัดสองสามอย่างให้เลือกหยิบได้ แล้วก็ไปจ่ายเงินกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ เหมือนในโรงอาหารมหาลัยเลย ที่บริษัทนี้นักศึกษาที่ฝึกงานจะเป็นพนักงานแค่กลุ่มเดียวที่จะได้ส่วนลดเมื่อซื้อข้าวกลางวันที่โรงอาหาร (นักเรียนที่มาทำงานพาร์ทไทม์หรือนักเรียนที่ทำธีสิสที่นี่เต็มเวลาก็ไม่ได้ส่วนลดนี้) ซึ่งราคาข้าวกลางวัน (ไม่รวมของหวานกับสลัด) เมื่อหักส่วนลดออกไปแล้วหลายๆครั้งก็ราคาไม่เกินร้อยบาทเอง ถูกกว่ากินข้าวห้างที่ไทยไปอีก เป็นอะไรที่ดีมากๆ ช่วยประหยัดเงินไปได้เยอะมากๆเลย

ในส่วนของตัวงาน จริงๆแล้วไม่ค่อยตรงสายกับที่เราเรียนเลย 555 แต่ว่าก็ตกลงทำเพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีบริษัทอื่นรับอีกมั้ย 5555 แต่ก็เพราะว่าเป็นบริษัท Bosch ที่มีชื่อเสียงด้วย แผนกที่เราไปทำคือแผนก Production planning ส่วนตัวงานหลักที่เราต้องทำจะออกไปทางแนว Data engineer ซึ่งเราก็ต้องไปหัดใช้โปรแกรมใหม่ แล้วก็ต้องรับช่วงงานต่อจากที่เด็กฝึกงานคนเก่าทำเอาไว้ ซึ่งตอนแรกก็ต้องมาทำความเข้าใจงานที่เค้าทำเอาไว้อีก ตอนแรกที่หัวหน้าอธิบายว่าให้ทำอะไรๆบ้างเราคือช็อคเบาๆ ด้วยความที่ไม่เคยใช้โปรแกรมนี้เลยเลยงงไปหมด คิดในใจว่าจะไหวมั้ย 55 แต่หัวหน้าก็คือดีมาก บอกว่าไม่ต้องกังวล ค่อยๆหัดค่อยๆทำความเข้าใจ จะเปิดยูทูบนั่งเรียนดูก็ได้หรือจะอ่านจากเน็ตอะไรก็ได้แล้วแต่เลย ถ้าสงสัยอะไรก็เดินมาถามเค้าได้ตลอด ถึงกับขนาดบอกว่าถ้าเราไม่เข้าใจจริงๆเดี๋ยวไว้มาช่วยกันนั่งดูงานที่เด็กฝึกงานคนเก่าทำไว้ไปทีละขั้นๆกับเค้าก็ได้ ขนาดนั้นเลย แต่เอาเข้าจริงพอมานั่งดูนั่งทำความเข้าใจไปเรื่อยๆก็ได้อยู่ พอผ่านไปไม่กี่วันก็นั่งทำงานคล่องละ บางช่วงก็จะได้เดินไปดูในส่วนที่เป็นโรงงานบ้าง ไปดูตามสายการผลิตต่างๆแล้วจดบันทึกต่างๆ อะไรอย่างนี้ ในบริษัทส่วนที่เราไปฝึกงานนี้เป็นส่วนที่เค้าผลิตชิ้นส่วนในระบบ ABS และ ESP ในรถยนต์และส่งไปให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆและส่งออกไปให้ลูกค้าอื่นๆทั่วโลก

สิ่งหนึ่งที่ดูจะเป็นปัญหาสำหรับเราในการฝึกงานนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องภาษา คือถึงจะอยู่เยอรมนีมาได้เจ็ดปีแล้วแต่ยังไง้ยังไงก็รู้สึกว่าระดับภาษาของเรามันค้างอยู่ที่ระดับๆนึง ไม่ยอมพัฒนาขึ้นจากระดับนี้ซักที ไม่เหมือนตอนช่วงหกเดือนแรกหลังจากเริ่มเรียนภาษาที่ตอนนั้นทักษะภาษาก้าวกระโดดแบบเร็วมากๆ ปัญหาหลักๆคือเวลาเพื่อนร่วมงานคนอื่นคุยกันนอกเวลางาน หรือเวลาประชุมอะไรงี้จะฟังแทบไม่รู้เรื่องเลย คือไม่ใช่ว่าฟังไม่ออกเลยว่าคุยอะไรบ้างแต่จะตั้งสติให้ฟังให้รู้เรื่องยากมาก คือจะฟังเข้าหูออกหู ฟังออกเป็นคำๆแต่จับใจความไม่ได้เลยเพราะลืมไปแล้วว่าคำหรือประโยคที่แล้วเค้าพูดว่าอะไร เหมือนสมองมันปล่อยเบลอ ถ้าอยากจะพยายามฟังให้รู้เรื่องต้องรวบรวมพลังลมปราณเพื่อไม่ให้สติหลุดลอยและตั้งใจฟังทุกคำให้ได้ แล้วประเด็นคือคนแถวนี้เค้าจะพูดสำเนียงท้องถิ่นกันด้วย เวลาเค้าคุยกันเองแล้วสำเนียงออกเยอะๆจะยิ่งฟังยากขึ้นไปใหญ่ ยังดีที่เราไม่ได้มีส่วนสำคัญเวลาเค้าประชุมกันเท่าไหร่ ส่วนสำคัญส่วนใหญ่คือเวลาคุยส่วนตัวกับหัวหน้า ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็จะรู้เรื่องมากกว่า แต่ในเรื่องของการพูดก็ไม่ได้ดีกว่าการฟังเท่าไหร่ โดยเฉพาะเวลาพูดในเรื่องงานที่ต้องใช้ศัพท์เฉพาะหรือคำกริยาหรือประโยคที่ไม่ค่อยได้ใช้ บางทีต้องเปิดดิคดูไว้ก่อนว่าต้องพูดยังไงถึงจะถูกก่อนจะพูดกับหัวหน้า บางทีก็รู้สึกหงุดหงิดปนท้อนะว่าเมื่อไหร่จะฟังพูดได้คล่องๆซักที ถ้าต้องไปทำงานจริงๆ ต้องประชุมจริงจังกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าจริงๆจะรอดมั้ย

เรื่องดีเรื่องหนึ่งที่ตกใจกับตัวเองก็คือความสามารถในการนอนเป็นเวลาและตื่นไปทำงานตอนเช้าทันทุกวัน เพราะว่าตอนที่เรียนมหาลัยที่มันไม่บังคับเข้าเรียนนี่เราแทบไม่เคยนอนและตื่นเป็นเวลาเลย ตื่นสายตลอด นอนหลังเที่ยงคืนตลอด หลายๆทีคือนอนกลางวันตื่นกลางคืนไปอีก ตอนก่อนจะมาฝึกงานเราแอบกังวลว่าจะตื่นเช้าไปทำงานทุกวันได้มั้ย จะตื่นสายไปทำงานสายมั้ย แต่พอเอาจริง ผ่านมาได้สองอาทิตย์แล้วก็ตื่นไปทำงานทันสบายๆตลอดนะ แล้วก็นอนเป็นเวลาตลอดเลย อาจจะเพราะว่านอกจากงานที่ทำแล้ว แถวๆที่เราอยู่นี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำเลยด้วยก็ได้ 555 แม้แต่เพื่อนก็ไม่มีเลย ทุกวันนี้ทำงานเสร็จกลับบ้านเล่นเน็ตดูหนัง บางวันก็ทำกับข้าวกินด้วย แล้วก็เข้านอนตลอด ไม่มีกิจกรรมอื่นเลย นี่รึเปล่าชีวิตการทำงาน 55 แต่สิ่งที่เราชอบก็คือพอทำงานเสร็จแต่ละวันแล้วก็คือจบเลย ทำอย่างอื่นได้อย่างอิสระ ไม่เหมือนตอนเรียนหนังสือที่ต้องพะวงกับการเรียน การอ่านหนังสือ การทำการบ้าน การเตรียมสอบเกือบจะตลอดเวลาทำให้บางทีก็เอ็นจอยกับเวลาว่างได้ไม่เต็มที่ ความรู้สึกนี้ตอนที่ทำงานแล้วคือไม่มีเลย นอกเวลางานก็สบายมาก อิสระ ชีวิตดี วันหยุดคือไปเที่ยวได้อย่างสบายใจ สมองกับสุขภาพจิตไม่ขุ่นมัว ชอบมากๆๆ ชีวิตในฝันเลย ทำงานเสร็จกลับมาพักผ่อนที่บ้านสวยๆ มีวิวสวยๆ เล่นเน็ต ดูทีวี ทำอาหาร พักผ่อนไปตามเรื่อง เสาร์อาทิตย์ก็ไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ มีวันหยุดเมื่อไหร่ก็หาตั๋วราคาถูกไปเที่ยวไกลๆ ขอแค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องรวยล้นฟ้า (แต่ถ้ารวยก็ดี 555) อันนี้คือความรู้สึกตอนนี้นะ ผ่านไปอีกซักเดือนสองเดือนอาจจะเปลี่ยนใจรึเปล่าก็ไม่รู้ ต้องดูกันต่อไป 55 เดี๋ยวไว้กลับมาเขียนเล่าใหม่

2 thoughts on “ชีวิตช่วงฝึกงาน

  1. shootcmu

    ยินดีด้วยที่ได้ที่พักที่ถูกใจนะครับ ที่พักน้องไม่เหมือน Wohnung ปกติเลย.. เหมือนโรงแรมมากกว่า 5 5

    รู้สึกเหมือนได้ที่เที่ยวที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นเลย ขอให้ฝึกงานราบรื่นนะครับ

Leave a comment