เส้นทางชีวิตกว่าจะได้งาน

วันนี้แอบมีเวลาว่างเลยมาอัพบล็อกหน่อย พอเริ่มทำงานแล้วเวลาว่างไม่ค่อยมีเหมือนตอนเรียนละ แถมพอมีเงินแล้วว่างเมื่อไหร่ เอะอะจะหาเรื่องออกไปใช้เงินตลอด 555 ไม่ก็อยากอยู่เฉยๆเอื่อยๆที่บ้านแบบไม่ต้องทำไม่ต้องคิดอะไร จนถึงวันนี้เราก็เริ่มทำงานประจำงานแรกในชีวิตมาได้เป็นเวลาสี่เดือนกว่าๆละ วันนี้จะมาเขียนสรุปเล่าเส้นทางชีวิตการหางานในเยอรมันว่ากว่าจะมาได้งานในวันนี้ เราเดินคลำทางผิดๆถูกๆมายังไงบ้าง

Home office ณ ปัจจุบันนี้

ย้อนกลับไปยังตั้งแต่ตอนที่เราเรียนอยู่ม.ปลายที่ไทยเลยละกัน ตอนอยู่ม.ห้าจะมีวิชาเลือกวิชาหนึ่งที่ให้เราต่อหุ่นยนต์ ซึ่งตอนนั้นเราก็เลือกวิชานี้ด้วยความสนใจมาก แล้วก็แฮปปี้กับการต่อหุ่นยนต์ (หรือตอนนั้นเค้าเรียกกันว่าโรบอท) และทำโปรแกรมควมคุมอัตโนมัติมากด้วย ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเริ่มมีความสนใจคณะวิศวะสาย Mechatronics ซึ่งต่อมาก็ได้มาเรียนคณะนี้ที่เยอรมันจริงๆ แล้วก็ได้ต่อโรบอทอีกรอบ ซึ่งก็แฮปปี้อยู่ (แฮปปี้อยู่แปลว่า?) แต่การเรียนวิศวะก็มีวิชาอื่นๆอีกหลายวิชาที่ทำให้ปวดหัวมาก ตัววิชาก็ยากอยู่แล้ว ยังต้องมาเหนื่อยใจกับภาษาเยอรมันอีก กว่าจะเรียนจบมาได้ก็สะบักสะบอมพอตัว ตอนระหว่างที่เรียนป.ตรี เราทำงานพาร์ทไทม์อยู่งานนึง แต่เป็นงานง่ายๆ แค่ทดลองใช้เว็บไซต์ขายของออนไลน์ต่างๆแล้วเช็คดูว่ามีปัญหาอะไรมั้ย ซึ่งตอนนั้นก็โอเคกับงานนี้นะถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับคณะที่เรียน เพราะว่ามันเป็นงานที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก เลยไม่ได้รบกวนพลังงานสำหรับการเรียน ตอนที่เราเริ่มต้นหางานประจำในเยอรมันแบบจริงจังเป็นครั้งแรกก็คือหลังจบป.ตรีที่นี่ แต่ด้วยความที่ตอนเรียนป.ตรี เรียนด้วยแรงขับดันว่าต้องเรียนให้จบๆๆจะได้มีใบปริญญาอย่างน้อยใบนึง จะเรียนจบมั้ยก็แอบหวั่นๆเพราะยากเหลือเกิน แค่รีบๆเรียนๆให้จบก็พอไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่น สรุปว่าก็เลยเรียนจบพร้อมใบปริญญา แต่ถ้าถามว่าทำอะไรเป็นบ้าง ไม่รู้จะตอบอะไร 555 เขียนโปรแกรมได้แค่ Java งูๆปลาๆ ไปสัมภาษณ์งานก็ไปแบบงงๆ ประสบการณ์กระจ้อยร่อย เลยเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจเรียนต่อโทด้วยความตั้งใจว่าต้องพยายามตักตวงประสบการณ์และทักษะต่างๆในะระหว่างที่เรียนโทให้ได้มากที่สุด (ตอนนั้นไม่กลัวว่าจะเรียนไม่จบแล้วเพราะผ่านป.ตรีมาได้แล้ว และถึงจะเรียนไม่จบจริงๆอย่างน้อยก็มีปริญญาแล้วใบนึง)

หุ่นยนต์ที่ต่อสมัยเรียนป.ตรี

ตอนระหว่างที่หางานตอนหลังจบป.ตรี มีสายงานนึงที่เรารู้สึกสนใจคือ Automation Engineer ที่ในการทำงานจะได้เดินทางไปติดตั้งหรือไม่ก็ตรวจเครื่องจักรหรือโรงงานในที่ต่างๆทั้งในและนอกประเทศ ด้วยความที่ชอบเที่ยวด้วย และความที่สายงานนี้ก็ใกล้เคียงกับคณะที่เรียนจบตรีมาด้วย เราเลยตัดสินใจมาเรียนโทคณะ Automation Engineering ซึ่งระหว่างนั้นก็พิถีพิถันมากกับการเลือกวิชาที่เรียนและลงเรียนวิชาที่สนใจและคิดว่ามีประโยชน์ วิชาหนึ่งที่เราเลือกลงเรียนเป็นพิเศษคือวิชาที่ได้ทำโปรเจคต์เล็กๆที่ได้ใช้โปรแกรม PLC ซึ่งเป็นโปรแกรมควบคุมเครื่องจักรและเป็นทักษะหลักในการทำงานของ Automation Engineer เลย จริงๆในวิชาบังคับของคณะก็มีวิชานึงที่ได้หัดเรียน PLC อยู่แล้ว แต่ว่าเรียนน้อยมากกก แถมส่วนใหญ่ก็เป็นแบบให้ทำตาม instructions ที่เค้ามีมาให้ จบคอร์สแล้วเลยไม่ได้รู้อะไรมากอยู่ดี เราเลยตัดสินใจไปลงวิชาเลือกที่ได้ใช้ PLC ทำงานของตัวเองจริงๆดีกว่า ได้หัดใช้ทั้ง PLC, Python, Raspberry Pi กับเครื่องจักรจริงๆ เสร็จแล้วก็ไปสมัครฝึกงาน ซึ่งตำแหน่งเกือบทั้งหมดที่เราสมัครไปก็เกี่ยวกับ automation engineer เกี่ยวกับ PLC นี่แหละ ด้วยความที่เราเคยใช้โปรแกรมนี้ในโปรเจคต์มาแล้ว เลยคิดว่าน่าจะหาที่ฝึกงานได้ไม่ยาก แต่ปรากฏว่าไปๆมาๆ สมัครไปกี่ที่ก็โดนปฏิเสธ (ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดด้วย) มีสองที่ที่โดนเชิญไปสัมภาษณ์ที่พอสัมภาษณ์เสร็จก็โดนปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ามีคนอื่นที่เคยเรียนสายอาชีพมาก่อนที่จะมาเรียนต่อมหาลัยมาสมัคร ซึ่งด้วยความที่เค้าเรียนสายอาชีพมาก่อน เลยมีประสบการณ์กับเครื่องจักรและกับ PLC มากกว่าเราที่เคยหัดทำแค่ในโปรเจคต์สั้นๆ (บวกกับในคอร์สวิชาบังคับสั้นๆที่มหาลัยที่พอจบแล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้เรียนอะไรเลย) เค้าเลยได้ตำแหน่งนั้นไป จากใบสมัครหลายสิบใบที่เราส่งไป มีแค่สองใบเท่านั้นที่ไม่ได้สมัครตำแหน่งเกี่ยวกับ PLC ซึ่งเราโดนเชิญไปสัมภาษณ์ทั้งสองที่นั้นเลย และหนึ่งในนั้นก็ตอบตกลงรับเรามา ซึ่งเป็นตำแหน่งเกี่ยวกับ Data Analyst ที่แทบจะไม่เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เราเคยเรียนมาเลย ทั้งชีวิตมีแค่คอร์สๆเดียวที่เราเคยลงเรียนที่เกี่ยวกับ Data Analytics ซึ่งเป็นคอร์สที่ลงตอนระหว่างไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศและไม่ได้เกี่ยวกับคณะ Automation Engineering โดยตรงด้วยซ้ำ ตอนเริ่มฝึกงานก็ต้องไปหัดใช้โปรแกรม Microsoft Power BI ที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อมาก่อน ช่วงแรกๆแอบมีคิดๆว่าคิดถูกมั้ยเนี่ยมาฝึกงานสายนี้ที่ไม่เกี่ยวกับที่เรียน แต่ปรากฏว่าทำไปทำมา ชอบมาก เพื่อนร่วมงานโอเค หัวหน้าดีมาก ชีวิตก็ดี ตัวงานก็ทำเพลินดี อยากไปทำงานทุกวัน จริงๆตอนฝึกงานเสร็จเค้าถามเราด้วยว่าสนใจทำต่อแบบทำออนไลน์แบบเป็นพาร์ทไทม์มั้ยแต่ว่าเราทำไม่ได้เพราะว่าต้องทำธีสิส เสียดาย T.T

ที่ทำงานตอนฝึกงานเป็นโรงงานอยู่ในชนบท บรรยากาศดีมากเพราะอยู่ติดเทือกเขาแอลป์ เหมือนได้ไปเที่ยวตากอากาศทั้งปี แต่ว่าอยู่นานๆก็เบื่อ

ก่อนจะฝึกงานเสร็จ เราก็สมัครธีสิสต่อ ซึ่งปกติแล้วจะทำกับมหาลัยก็ได้แต่ว่าจะไม่ได้เงินเดือน ถ้าทำกับบริษัทจะมีเงินเดือนให้ เราก็สมัครกับบริษัทที่ฝึกงาน แต่ว่าเป็นสาขาในเมืองอื่น เป็นงานแนวคล้ายๆกับโปรเจค PLC ที่เคยทำที่มหาลัย แต่ว่าใช้ Python อย่างเดียว ไม่ได้ใช้ PLC และต้องทดลองเยอะกว่า ตอนนั้นส่งใบสมัครใบแรกคืองานนี้ อีกไม่กี่วันก็โดนเรียกสัมภาษณ์ แล้วอีกไม่กี่วันก็ตอบตกลงมาเลย เซอร์ไพรส์มาก (แต่คิดว่าเพราะเป็นบริษัทเดียวกัน เลยรับง่ายกว่าด้วย) งานตอนทำธีสิสจะมีส่วนที่ต้องหาอ่านวิจัย ส่วนที่เขียนโปรแกรม ส่วนที่ทำทดลอง และส่วนที่เขียนเล่ม ซึ่งส่วนที่เราชอบมีส่วนเดียวคือเขียนโปรแกรม ส่วนส่วนอื่นๆคือเกลียด 5555 ช่วงเวลาที่ทำธีสิสป.โท โดยเฉพาะช่วงท้ายๆที่กำหนดส่งใกล้เข้ามาทุกทีแต่ยังทำไม่ถึงไหน ทดลองก็ผลออกมาแบบลูกผีลูกคน ไหนจะต้องเขียนเล่มอีก เป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตเลย เคยเครียดจนใจสั่น นอนไม่หลับ ไม่มีอารมณ์กินอะไร หัวใจเต้นแรงติดต่อกันอยู่สองวัน เครียดจนถามตัวเองบ่อยๆว่าเราเอาตัวเองมาอยู่ในจุดนี้ทำไม เราจะเรียนสูงระดับนี้แต่แลกกับสุขภาพจิตที่พังไปทำไม ทำไมถึงอยากเรียนสูงเบอร์นี้ก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราในชีวิตจริงๆคืออะไรกันแน่ ฯลฯ บางโมเมนต์ก็คืออยากจะเลิกทำธีสิสให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย อยากกลับไทยด้วย กลับไปอยู่กับที่บ้าน ไม่อยากอยู่เยอรมันต่อแล้ว แต่ด้วยความที่ไหนๆก็จะเรียนจบอยู่แล้ว เลยกัดฟันทนจนในที่สุดก็ผ่านมาได้ แลกกับสุขภาพจิตและความมั่นใจที่พังไปอยู่พักหนึ่ง

ที่ทำงานตอนทำธีสิส เป็นศูนย์วิจัย อยู่ในชนบทเหมือนกันแต่บรรยากาศธรรมดาๆ ไม่ได้อลังการเหมือนตอนฝึกงาน

ระหว่างที่ทำธีสิสอยู่ ตอนที่ยังไม่เครียดจัดๆ เราก็ไปสัมภาษณ์งานมาที่นึง เป็นที่ที่เราไปฝึกงานมาแต่คนละแผนก งานก็คือตรงกับที่คิดไว้ตั้งแต่ตอนสมัครเรียนป.โทเลย เดินทางไปต่างประเทศไปตรวจเช็คการติดตั้งสายการผลิต ตอนแรกสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ไป เค้าบอกว่าถูกใจมาก ชวนไปสัมภาษณ์ที่บริษัทเลย เดินทางไปด้วยอารมณ์แอบคิดว่าคงได้แน่แล้วมั้งมาทรงนี้ ปรากฏว่าพอสัมภาษณ์ตัวต่อตัวจริง ทุกคนเคร่งเครียดมาก เจอคำถามกดดันแนวจะทำยังไงถ้าเกิดสถานการณ์นี้ๆๆๆ ถ้าลูกน้องไม่ทำงาน ถ้าโปรเจคต์ล่าช้า ถ้าอัพเดตโปรแกรมของเครื่องจักรแต่ทำงานแล้วมีปัญหา แก้ไม่ได้ซักที คนงานก็รอๆๆกดดันอยู่ เวลาทำงานก็จะหมดแล้วและทำเกินเวลาไม่ได้คุณจะทำยังไง ฯลฯ ทำนี่เป็นมั้ย เคยเรียนนี่มั้ย ฯลฯ ตอบไปเหงื่อตกไป แล้วก็คำถามที่เป็นไม้เบื่อไม้เมามาตั้งแต่ตอนหาที่ฝึกงาน “มีประสบการณ์อะไรกับ PLC” บ้าง ตอนสัมภาษณ์เสร็จ คนสัมภาษณ์บอกว่าขอบคุณที่สละเวลามา เดี๋ยวเราจะติดต่อไป รู้เลยว่าไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ได้จริงๆ.. แต่ถึงได้ เราจะอยากทำเหรอ? ณ จุดนั้นมันไม่ใช่แค่ว่าคุณสมบัติเราเหมาะกับการทำงานมั้ย มันเกี่ยวกับว่าเราอยากทำงานแบบนี้จริงๆด้วยมั้ย และเรารู้สึกดีหรือรู้สึกเข้ากันได้กับคนที่สัมภาษณ์ที่อาจจะเป็นหัวหน้าเราในอนาคตด้วยมั้ยด้วย หลังจากสัมภาษณ์ที่นี่ผ่านไป แล้วมาเจอมรสุมชีวิตจากธีสิสอีก รู้สึกเหมือนต้องจัดลำดับความต้องการในขีวิตใหม่ การทำธีสิสทำให้รู้ว่างานที่ต้องทดลองหรือใช้เครื่องจักรนั้นไม่ใช่งานที่เราทำแล้ว enjoy ยิ่งเวลามีปัจจัยอะไรมาทำให้ผลการทดลองเพี้ยนที่บอกไม่ได้ว่ามาจากไหน หรือเวลาเครื่องจักรไม่ทำงานอย่างที่คิด ทำให้เราทำงานต่อไม่ได้ ต้องให้ช่างมาเช็ค จะเป็นอะไรที่ทำให้ประสาทกินมาก กลับกันงานเขียนโปรแกรม ที่เราจะลบๆแก้ๆในโค้ดแล้ว test เมื่อไหร่ก็ได้ จะเพิ่มรายละเอียดตรงไหนก็ทำเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง โปรแกรมมีปัญหาอะไรก็หาสาเหตุเองได้ตลอด แค่เช็คดูในโค้ดแล้วเสิร์ชกูเกิลเอา จะปรับจะเปลี่ยนอะไร จะเริ่มจะจบการทดลองก็ไม่ต้องใส่ชุดป้องกัน หยิบประแจไขๆ หยิบเข้าหยิบออก ไม่ต้องมามะงุมมะงาหราเหมือนอยู่กับเครื่องจักร แค่กดแป้นพิมพ์ มองจอคอมเท่านั้น เหมือนตอนฝึกงานที่ทำงานกับโปรแกรม Power BI ก็แฮปปี้เพราะจะทำจะแก้อะไรก็คลิกๆพิมพ์ๆในโปรแกรมได้เลยแล้วเห็นผลเดี๋ยวนั้นเลย ความคิดนี้ทำให้บอกลากับความคิดอยากทำงาน automation engineer หรืองานแนววิศวะจ๋าๆที่ต้องทำงานกับเครื่องจักรหรือแม้แต่หุ่นยนต์ไปอย่างถาวร เปลี่ยนไปหางานในสาย IT ดีกว่า

อีกเหตุผลที่สนใจงานในสาย IT คือ เพราะมีโอกาสได้ทำงานที่ทำแบบออนไลน์ 100% ได้เยอะกว่า ถ้าได้งานที่ทำออนไลน์ได้แบบนี้ จะเดินทางไปไหนก็ได้ตามใจ ไม่เหมือนงาน automation engineer ที่ต้องเดินทางไปตามที่ๆเค้าบอกให้ไป และเผลอๆอาจจะได้งานที่ไปทำออนไลน์จากที่ไทยได้ก็ได้ เราจะได้มีโอกาสได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้นด้วย

ตอนแรกวางแผนว่าจะเขียนธีสิสให้เสร็จแล้วกลับมาพักผ่อนที่ไทย ปรากฏว่าไปๆมาๆ เขียนไม่ทัน กลับมาไทยแล้วต้องกลับมานั่งเขียนต่ออีก เป็นช่วงเวลาที่เครียดที่สุดในชีวิตเลยโดยเฉพาะตอนที่ส่งฉบับแรกไปแล้วโดนวิจารณ์กลับมาแบบพรุน ต้องมานั่งแก้ใหม่ นั่งกินข้าวมองหน้าพ่อแม่ไปจะร้องไห้ไป

อีกผลลัพธ์จากการจัดลำดับความสำคัญในชีวิตใหม่คือการตัดสินใจย้ายไปอยู่เมืองเบอร์ลิน หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่แต่เมืองเล็กๆไปจนถึงหมู่บ้านในชนบทมาตลอด (ยกเว้นตอนไปแลกเปลี่ยน) เราเคยไปเบอร์ลินหลายครั้งและชอบมากเพราะเป็นเมืองใหญ่ที่มีอะไรให้สำรวจหรือให้ทำตลอดเวลา ไม่น่าเบื่อเลย ตอนที่ใกล้ๆส่งธีสิส บอกตัวเองเลยว่าฉันจะย้ายไปอยู่เบอร์ลิน ถึงเงินเดือนอาจจะน้อยกว่าก็ไม่เป็นไร ชีวิตที่เงินเยอะแต่ทำงานหนักและเครียดจนสุขภาพจิตพัง หรือทำงานโอเคแต่พอเลิกงานแล้วไม่มีที่ให้ไปกินดื่มสังสรรค์ใช่ชีวิต เราก็ไม่อยากมีอยู่ดี พอพรีเซนต์ธีสิสป.โทเสร็จเลยเก็บกระเป๋า ย้ายมาตายเอาดาบหน้าเลย มาหาบ้าน หางานเอาที่นี่

ช่วงแรกๆของการหางาน เราก็สมัครงานแนวๆ IT ไปหลายที่ ไปสัมภาษณ์รอบแรกก็หลายที่อยู่ รอบนี้พยายามเน้นหาตำแหน่งที่เกี่ยวกับ Data Analyst ที่ตรงกับที่เราไปฝึกงานมา แต่ก็ไม่วายมีอุปสรรค เพราะถึงเราจะมีประสบการณ์ฝึกงาน แต่ก็ไม่ได้เรียนมาสายนี้โดยตรง และหลายๆที่ก็หาแต่คนที่มีประสบการณ์มาแล้วหลายปี 😒 รอบนี้เราสมัครตำแหน่ง Trainee ไปสามสี่ที่ สมัครไปก็บ่นกับตัวเองไปว่าอุตส่าห์เรียนโท นึกว่าจะหางานง่ายขึ้น แต่ก็ต้องมาสมัครตำแหน่งสำหรับคนประสบการณ์น้อยอยู่ดี คุ้มเวลาชีวิตมั้ย ถ้าเริ่มทำงานตั้งแต่จบตรี ป่านนี้คงได้สัญชาติเยอรมันไปแล้ว

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้การหางานรอบนี้ต่างจากการหางานตอนจบตรีเยอะมาก คือสมัยนี้มีเว็บและเทคโนโลยีต่างๆเยอะกว่าสมัยนั้นมาก มีเว็บสำหรับหางานหลายๆเว็บที่เราแค่ต้องอัพโหลด CV แล้วจะมี recruiter ติดต่อมาเองหรือจะมีพนักงานหาบริษัทให้เราแบบไม่ต้องเขียน cover letter หรือส่งใบสมัครเองเลย ตอนเล่นโซเชียลมีเดียก็มีโฆษณาประกาศรับสมัครงานโผล่มาเยอะมาก หลายที่ก็ไม่จำเป็นต้องส่ง cover letter แค่ส่ง CV ส่วนในเรื่องของการเขียน cover letter เดี๋ยวนี้ก็มี ChatGPT ช่วยเรียบเรียงหรือแก้แกรมมาร์ให้ ไม่ต้องไปรอขอเพื่อนคนเยอรมันให้ช่วยแก้ให้แล้ว สะดวกรวดเร็วมาก

ย้ายมาเบอร์ลินเพื่อมาหาแสงสี

สรุปแล้ว หลังจากสมัครไปหลายสิบที่ ซึ่งตำแหน่งส่วนใหญ่ที่สมัครก็เป็นตำแหน่งเกี่ยวกับ Data Analyst ในที่สุดเราก็ได้งานที่บริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งที่ทำเกี่ยวกับ RPA หรือ Robotic Process Automation แต่ตำแหน่งที่เราได้ไม่ใช่ตำแหน่งเกี่ยวกับ Data Analyst แต่เป็นตำแหน่งที่ชื่อว่า… Automation Engineer 555555 และในตำแหน่งนี้ เรามีหน้าที่สร้างหุ่นยนต์ แต่เป็นหุ่นยนต์ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่หุ่นยนต์ตัวเป็นๆ 5555 และอีกอย่างคือ งานนี้เป็นงานแบบทำออนไลน์ 100% ด้วย 🤩🤩🤩 (คือมีออฟฟิศแต่จะมาหรือไม่มาก็ได้) เหมือนชีวิตเล่นลิ้นกับเรา ตอนแรกอยากได้สิ่งนี้ แต่ไปได้สิ่งนั้นแทน พอต่อมาอยากได้สิ่งนั้น แต่กลับมาได้สิ่งนี้ ในอยู่ในรูปแบบของสิ่งนั้น งงมั้ย 555 แต่สรุปว่าตอนนี้โอเคกับตำแหน่งนี้มาก RPA เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆด้วย ตัวบริษัทจริงๆแล้วตั้งอยู่ที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ต แต่ด้วยความที่เป็นงานออนไลน์ เราเลยได้อาศัยอยู่ที่เบอร์ลินต่อไป

ตอนที่สมัครงานตำแหน่งนี้ เราสมัครผ่านเว็บ https://talentagent.de/talent ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเว็บที่เราแค่อัพโหลด CV ไปแล้วจะมีพนักงานหาบริษัทที่เหมาะกับโปรไฟล์ของเรามาให้เรา อีกเว็บคล้ายๆกันที่ตอนนั้นใช้หางานคือเว็บ https://www.get-in-it.de ตอนที่เห็นข้อมูลของบริษัทนี้ในลิสต์ของบริษัทที่เค้าแนะนำมาให้ เรารู้สึกสนใจเพราะว่าจากที่หาๆงานมา เห็นคีย์เวิร์ดคำว่า RPA ในประกาศรับสมัครงานของบริษัทต่างๆบ่อยๆ พอไปหาข้อมูลเพิ่มเลยเจอว่าอันนี้เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังมา เลยสมัครไป ด้วยความที่บริษัทที่ขนาดเล็ก กระบวนการต่างๆเลยเดินเร็วมาก รอแค่ไม่กี่วันก็ได้สัมภาษณ์แล้ว รอบแรกสัมภาษณ์กับ HR คำถามทั่วๆไป เล่าเรื่องตัวเอง ทำไมคุณอยากทำงานที่นี่ คุณมีความสำเร็จอะไรที่คุณรู้สึกภูมิใจกับมันบ้าง ฯลฯ แล้วก็เปิดโอกาสให้เราถามคำถามต่างๆกลับ สัมเสร็จรอสองสามวันก็ได้รับคำเชิญชวนไปสัมรอบต่อไปแล้ว รอบที่สองสัมภาษณ์กับ HR กับหัวหน้าทีม เป็นการสัมภาษณ์ที่บรรยากาศคนละแบบกับตอนสัมภาษณ์งานตำแหน่ง PLC ที่แล้วมาก หัวหน้าทีมดูเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะบ่อย ไม่หน้านิ่วคิ้วขมวด แถมเค้ายังดูสนใจในสิ่งที่เราเล่ามาก รอบนี้ก็จะเป็นคำถามแนวแบบ คุณเคยทำอะไรมาบ้าง ตอนทำงานนี้คุณทำอะไร อธิบายธีสิสให้ฟังหน่อย เคยใช้โปรแกรมนี้มั้ย ฯลฯ โชคดีที่ตอนที่เราฝึกงาน เราเคยใช้โปรแกรมนึงที่เค้าใช้ในการทำงานอยู่แป๊บนึง เลยพอมีอะไรมาเล่าบ้าง แล้วคำถามหนึ่งที่เด็ดดวงที่เค้าถามมาคือ คุณคิดว่าคุณได้อะไรจากการเรียนป.โทบ้าง ซึ่งด้วยความที่ไม่ได้เตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้มา กับความที่ตอนนั้นอยู่ในอารมณ์เฟลว่าไม่รู้จะเรียนป.โทมาทำไม เรียนจบมาก็ยังรู้สึกว่าหางานยากอยู่ดี ก็เลยตอบไปตรงๆว่า สิ่งที่ได้คือการหัดวางกลยุทธ์ว่าจะลงเรียนกับเตรียมตัวสอบยังไงให้สอบผ่านทุกวิชา 55555 กับบอกไปตรงๆอย่างที่เล่ามาตอนต้นบล็อกว่าที่เรามาเรียนป.โทคือเพราะจะได้มีโอกาสสะสมประสบการณ์ต่างๆในฐานะนักเรียนเพิ่มขึ้นมากกว่า เช่นการไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศ การฝึกงานกับทำธีสิสที่บริษัท อะไรอย่างงี้ ซึ่งเค้าก็ดูจะพอใจในคำตอบมั้ง เพราะว่าอีกไม่กี่วันเค้าก็เชิญเราไปสัมรอบที่สามซึ่งเป็นรอบสุดท้าย ซึ่งเค้าเรียกว่าเป็น Case study ตอนนั้นเค้าไม่ได้บอกเราว่ารอบนี้จะเป็นยังไง เราก็เตรียมตัวด้วยการไปดูคลิปเตรียมตอบคำถามสัมภาษณ์เกี่ยวกับ RPA ในยูทูบเยอะแยะมากมาย พอถึงตอนสัมภาษณ์จริงๆ ปรากฏว่าในการสัมภาษณ์รอบนี้ เค้าจะให้โจทย์เรามาแล้วให้เราใช้โปรแกรมที่เค้ากำหนดให้แก้ปัญหาของโจทย์นั้น (แบบแชร์หน้าจอคอมของเราให้เค้าดูไปด้วย ตอนนั้นสัมภาษณ์แบบโทรคุยออนไลน์) ซึ่งโปรแกรมที่เค้าให้เราใช้ก็คือโปรแกรมที่เราเคยใช้ตอนฝึกงานแค่นิดเดียว ที่เค้าให้เล่าให้ฟังตอนสัมภาษณ์รอบสองนั่นแหละ ด้วยความที่เราเคยใช้แค่แป๊บเดียว และความที่ไม่ได้เตรียมตัวแนวนี้มา เลยช๊อคไปห้าวิ แต่ก็พยายามทำๆๆ กดๆมั่วๆๆไป แต่ว่าก็กดมั่วไปเยอะมากกกก แบบกดหาฟังก์ชั่นที่อยากจะใช้ไม่เจอ สุดท้ายพอเวลาหมดคือทำไปได้นิดเดียว เค้าเลยให้เราอธิบายแทนว่าจริงๆแล้วเราตั้งใจวางแผนว่าจะทำอะไรยังไง แล้วเจอปัญหาอะไรระหว่างที่ทำบ้าง เราก็อธิบายๆๆไป แล้วก็บอกว่าถ้าเป็นตอนทำงานจริงๆฉันจะเปิดกูเกิลไปด้วยรัวๆเพื่อดูว่าโปรแกรมนี้ใช้ยังไง ถ้าจะทำอย่างนี้ต้องกดตรงไหนยังไงไรงี้ เค้าก็ถามกลับว่าอ้าวแล้วเมื่อกี๊ทำไมไม่เปิด เราก็เงิ่บเลย แบบ อ้าวก็นึกว่าไม่ให้เปิด T[]T!!! เค้าก็บอกว่าเค้านึกว่าเราใช้จอคอมสองจอแล้วเราเปิดกูเกิลดูในอีกหน้าจอนึงที่เราไม่ได้แชร์ให้เค้าดู T.T เค้าบอกว่าเราไม่ได้อยู่ในมหาลัยแล้ว เปิดกูเกิลดูได้ ไม่ได้ทำข้อสอบอยู่ เป็นงั้นไป สรุปว่าเค้าก็นิ่งๆกันแล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะติดต่อกลับไป ตอนนั้นก็คือแอบทำใจว่าคงจะปิ๋วแล้วมั้ง แต่ปรากฏว่าอีกไม่กี่วัน HR โทรมาบอกตอบรับเรา! ดีใจมากและแอบตกใจด้วย แล้วเค้าก็ส่งสัญญางานพร้อมวันเริ่มงานมาให้อ่าน เราถามว่ามีเวลาตัดสินใจนานแค่ไหน เค้าก็บอกว่านานเท่าที่เราต้องการเลย ซึ่งฟังดูเป็นสัญญาณที่ดีมาก เราก็เล่นตัวอยู่สามสี่วันแล้วก็เซ็นสัญญาตอบตกลงไป 555 ก็เป็นอันว่าในที่สุดก็หางานประจำได้แล้ว เย่!

เมืองแฟรงค์เฟิร์ตที่บริษัทเราตั้งอยู่

ตอนเริ่มงานวันแรก เราเดินทางมา onboarding ที่บริษัทที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ตอยู่สองวัน บริษัทออกค่าเดินทางกับค่าที่พักให้ด้วย นอกจากเราแล้วก็มีเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มงานตำแหน่งเดียวกันกับเราอีกคนนึง วันแรกมีพนักงานมาออฟฟิศประมาณสิบคน วันที่สอง นอกจากเรากับเด็กใหม่แล้วมีคนอื่นมาแค่สองคน 555 คือ HR กับหัวหน้าของเรา ในที่สุดหลังจากที่เดินทางสู้ชีวิตที่คดเคี้ยวเลี้ยวลัดขึ้นเขาลงเหวมากว่า 30 ปี ในที่สุดก็มาถึงวันนี้ ที่มีงานทำ มีชีวิตเป็นของตัวเองซักที 🥺 ณ จุดนี้ก็ผ่านมาได้สี่เดือนแล้ว ก็ได้เรียนรู้โปรแกรมใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆเยอะแยะ ได้มีส่วนร่วมในการทำแอป ทำระบบให้ลูกค้า มีส่วนร่วมในการช่วยหัวหน้ากับช่วยทีมหาข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อไปเสนอ Solution สำหรับปัญหาของลูกค้า รู้สึกดีว่าตัวเรานี่ก็มีประโยชน์ได้ขนาดนี้เลยเหมือนกันนะ 555 ถึงภาษาจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ว่าเราก็สามารถสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจ และเข้าใจคนอื่นได้ (คิดว่านะ 5555) แต่ว่าการทำงานออนไลน์ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน คือนอกจากจะไม่ได้เจอได้คุยกับเพื่อนร่วมงานแบบตัวเป็นๆแล้ว เรายังไม่สามารถบอกได้ชัดๆว่าวันๆนึงเราทำงานไปเยอะแค่ไหนอีก เพราะเดี๋ยวก็ไปทำกับข้าวกินบ้าง เดี๋ยวก็แอบเปิดยูทูบดูบ้าง เดี๋ยวก็แอบไปงีบบ้าง 555 หลายๆวันก็เลยทำชดเชยไปจนเลิกซะดึก เลยกลายเป็นปัญหาว่าเราจะแยกตัวงานออกจากชีวิตส่วนตัวยังไงดี ทุกวันนี้ถือหลักการว่าขอแค่งานเสร็จในขอบเขตเวลาที่กำหนดไว้พอ แต่ละวันทำเยอะทำน้อยแค่ไหนก็ช่างก่อน 555 แต่จริงๆเรื่องนี้ก็ยังเป็นปัญหาที่เราก็ยังคงพยายามปรับตัวและหาทางออกที่ลงตัวกับตัวเราอยู่ เพื่อจะได้ทำงานแบบออนไลน์ได้อย่างสบายใจและมีระเบียบวินัยแบบเป็นกิจจะลักษณะ ตอนนี้ทำงานผ่านมาสี่เดือนกว่าแล้ว แต่ว่าช่วงทดลองงานที่เยอรมันกินเวลาหกเดือน ตอนนี้ก็คือยังรอให้ผ่านช่วงทดลองงานอยู่ เดี๋ยวผ่านเมื่อไหร่จะไปเปลี่ยนวีซ่าเป็นวีซ่าทำงานจริงๆจังๆ แล้วเดี๋ยวจะกลับมาอัพบล็อกอีกที ขอให้ผ่านช่วงทดลองงานและเปลี่ยนวีซ่าได้แบบไม่มีปัญหาอะไรนะ อิอิ

อพยพไปเบอร์ลิน

กรุงเบอร์ลิน หรือเมืองหลวงของประเทศเยอรมนีนี้เป็นเมืองที่เราชอบมากๆ พูดได้ว่าชอบที่สุดในเยอรมนีจากเมืองทั้งหมดที่เคยไปมาเลยก็ว่าได้ เหตุผลหนึ่งคือเพราะด้วยความที่เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด มีจำนวนประชากรมากที่สุด และยังเป็นเมืองท่องเที่ยวดัง ทำให้เมืองนี้มีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะมากมายไม่รู้เบื่อ ที่สำคัญคือร้านอาหารของกินต่างๆก็มีเยอะแยะและหลากหลายสัญชาติมาก นอกจากนี้ประชากรในเมืองก็ยังมีความหลากหลาย มีคนจากหลากหลายประเทศ หลากหลายรูปแบบการใช้ชีวิต ตั้งแต่นักธุรกิจเงินล้านใส่ชุดสูทไปจนถึงวัยรุ่นพังค์แต่งตัวเหมือนชาวร็อคย้อมผมสีแสบสันนั่งๆยืนๆปะปนกันไปในรถไฟใต้ดิน กรุงเบอร์ลินเป็นเมืองที่มีศิลปินและชาวเสรีนิยมเยอะซึ่งต่างคนต่างก็แสดงออกถึงสไตล์ของตัวเองออกมาในการแต่งตัวอย่างไม่มีกั๊ก การนั่งรถไฟสาธารณะในเบอร์ลินแต่ละครั้งจะเป็นอะไรที่น่าลุ้นว่าจะได้เห็นใครแต่งตัวแปลกๆยังไงบ้าง นอกจากการแต่งตัวแล้ว ความเสรีนิยมและความติสต์ที่ฝังแน่นอยู่ในความเป็นเมืองเบอร์ลินก็ยังสะท้อนออกมาให้เห็นในรูปของกราฟิตี้ที่จะพบเห็นได้ตามตึกรามบ้านช่องและสถานที่ทั่วไป ภาพวาดใหญ่ๆบนผนังอาคารต่างๆ ตึกรูปร่างประหลาด และคอนเสิร์ตและปาร์ตี้หลากหลายรูปแบบสำหรับกลุ่มลูกค้าต่างๆกัน

นอกจากเหตุผลหลักเรื่องความเป็นเมืองใหญ่ กิจกรรมและร้านอาหารมากมาย และความหลากหลายของประชากรและไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นน่าสนใจแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เบอร์ลินเป็นเมืองที่น่าสนใจสำหรับเรามากก็คือประวัติศาสตร์ของตัวเมือง เมืองเบอร์ลินเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สวยงามมากในอดีต แต่โดนทำลายลงไปตอนสงครามโลก พอหลังสงครามโลกก็โดนสร้างกำแพงแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งทุนนิยม (เบอร์ลินตะวันตก) กับฝั่งคอมมิวนิสต์ (เบอร์ลินตะวันออก) พอสงครามเย็นจบลง สหภาพโซเวียตล่มสลาย ประเทศเยอรมนีก็รวมตัวกันกลายเป็นหนึ่งอีกครั้ง กำแพงเบอร์ลินโดนทำลาย เจ้าหน้าที่รัฐในเมืองฝั่งอดีตคอมมิวนิสต์หมดหน้าที่ เมืองกลายเป็นสถานะเมืองไร้กฏหมายอยู่พักใหญ่ๆ คนจากเมืองฝั่งอดีตคอมมิวนิสต์อพยพหนีออกมา ทำให้ตึกหลายตึกถูกทิ้งร้าง บางหลังก็ถูกชาวเสรีนิยมหัวรุนแรงมายึดไปอยู่กันเองแบบปกครองตัวเอง ไม่สนใจกฏหมาย ไม่สนใจนายทุนเจ้าของตึก ตึกร้างบางตึกก็มีคนมาใช้เป็นที่จัดปาร์ตี้ดนตรีเทคโนกัน ทำให้ทุกวันนี้เมืองเบอร์ลินกลายเป็นหนึ่งในใจกลางของวัฒนธรรมปาร์ตี้และดนตรีเทคโนที่ดังที่สุดในโลก ตึกร้างบางแห่งที่ในอดีตเคยถูกใช้เป็นสถานที่จัดปาร์ตี้แบบนี้ ทุกวันนี้ก็กลายมาเป็นผับเทคโนชื่อดังจนถึงปัจจุบัน เช่นผับ Tresor นี่เป็นประวัติแบบคร่าวๆของเมืองเบอร์ลินที่ส่วนตัวเรารู้สึกน่าสนใจมากๆโดยเฉพาะช่วงตั้งแต่หลังสงครามเย็นมา ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งถือว่ายังใหม่มากๆ แม้แต่ทุกวันนี้เรายังสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของตัวเมืองในฝั่งเบอร์ลินตะวันตกกับฝั่งตะวันออกทั้งในเรื่องของสภาพบ้านเรือนและการใช้ชีวิตของคนกันอยู่เลย เช่น ในฝั่งตะวันออกจะมีแฟลตทรงเหลี่ยมๆทื่อๆสไตล์คอมมิวนิสต์เยอะและจะมีรถรางวิ่งเยอะ แต่ในฝั่งตะวันตกจะไม่มีแฟลตหน้าตาแบบนี้และจะไม่มีรถรางวิ่งเลย บางที่ก็จะยังมีตึกร้างที่ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ หรือที่กำลังถูกเรโนเวตตั้งอยู่ปะปนไปกับตึกรูปทรงสมัยใหม่ แม้แต่ตึกร้างที่โดนชาวเสรีนิยมหัวรุนแรงยึดมาอยู่กันเองบางตึกก็ยังอยู่กันมายาวนานจนถึงทุกวันนี้ ตึกเหล่านี้ปกติจะสังเกตได้จากป้ายข้อความประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองที่จะห้อยอยู่ตรงด้านนอกตึก

ด้วยความที่เราชอบเมืองเบอร์ลินเป็นการส่วนตัวมานานแล้วแต่ไม่เคยได้มาอาศัยอยู่ซักที พอเรียนจบป.โทเลยตั้งใจว่านี่แหละ โอกาสมาแล้ว It’s now or never ตอนก่อนจะหมดสัญญาเช่าห้องปัจจุบันเราก็หาห้องเช่าในเมืองเบอร์ลินจากในเว็บ wg-gesucht.de ด้วยความที่เมืองเบอร์ลินนั้นขึ้นชื่อเรื่องความยากของการหาห้องแบบระยะยาวมากๆ เราเลยหาห้องแบบระยะสั้นไปก่อน ซึ่งก็โชคดีได้ห้องสำหรับระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ราคาถูกมากมา ตอนนั้นเราโทรคุยแบบเปิดกล้องกับเจ้าของห้องเพื่อดูห้อง แล้ววันต่อมาเค้าก็พิมพ์กลับมาว่าตกลงเราได้ห้องแล้วไรงี้ โชคดีไปหนึ่งเปลาะ พอเราพรีเซนต์ธีสิสที่มหาลัยเสร็จตอนปลายเดือนมกราคม เราก็เลยเก็บกระเป๋าเดินทางย้ายไปอยู่เบอร์ลินเลย

ห้องที่เราได้ที่เบอร์ลินนี้เป็นห้องสไตล์ WG หรือ Wohngemeinschaft ซึ่งความหมายของมันก็คือเป็นอพาร์ตเมนท์ใหญ่ๆที่หลายๆคนอาศัยอยู่ด้วยกันแต่ว่าแต่ละคนมีห้องนอนส่วนตัว และแชร์ห้องน้ำ ห้องครัว กับห้องนั่งเล่นกัน เราเคยอยู่ห้องเช่าแบบ WG แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ทั้งบ้านมีคนเช่าอยู่เกือบสิบคน! ซึ่งเยอะมาก แล้วเท่าที่เข้าใจคือบางทีเค้าก็จะนัดดูหนังกลางแปลงในห้องนั่งเล่น นัดเล่นเกมทำกิจกรรมอะไรด้วยกันอะไรอย่างนี้บ้าง หรือนัดประชุมเพื่อเคลียร์ประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมกันกัน หรือแนะนำผู้เช่าใหม่อะไรอย่างนี้ คืออารมณ์แบบแทบจะเป็นเหมือนหอพักที่มีระบบบริหารจัดการภายในเป็นของตัวเองย่อมๆไปแล้ว ซึ่ง WG ที่อยู่กันเป็นทางการเหมือนหอพักย่อมๆแบบนี้เรายังไม่เคยอยู่ แล้วก็อยากลองดูเหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไง แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ก้าวเท้าแรกเข้าไปในห้องนอนของเราไป สิ่งที่มาปะทะโสตประสาทเป็นอย่างแรกเลยก็คือ… กลิ่นบุหรี่!!! เจ้าของห้องเค้าเป็นคนสูบบุหรี่แล้วก็สูบในห้องด้วย!!! ซึ่งเราก็ลืมถามตอนโทรวิดีโอดูห้องว่าเค้าสูบบุหรี่มั้ย แล้วกลิ่นมันแบบเหม็นมาก เปิดหน้าต่างระบายอากาศก็ไม่หายเพราะกลิ่นมันติดอยู่ในโซฟา ในเตียง ในผ้าต่างๆฝังลึกไปแล้ว คิดหนักเลยจะทำไงดี เรานอนที่นั่นอยู่หนึ่งคืน พอวันต่อมารู้สึกว่าไม่ได้แล้ว จะให้นอนดมกลิ่นบุหรี่อย่างนี้ต่อไปอีกเดือนนึง ยังไงก็ไม่ได้ เลยเข้าเว็บ wg-gesucht.de อีกรอบ หาห้องเช่าที่ปล่อยให้เช่าเร็วๆนี้ โชคดีที่ด้วยความที่เบอร์ลินเป็นเมืองใหญ่และทุกคนรู้ว่ามีคนอยากได้ห้องเยอะมากทั้งระยะยาวระยะสั้น เลยมีคนปล่อยห้องให้เช่าช่วงสั้นๆเยอะมากๆ บางคนไปเที่ยวช่วงสั้นๆอาทิตย์สองอาทิตย์ก็ปล่อยห้องให้เช่า อะไรอย่างนี้ บางคนปล่อยให้เช่าแค่ไม่กี่วันก็มี ตอนนั้นเราเจออยู่สองสามห้องที่ว่างช่วงใกล้ๆนี้และราคาไม่แพงมาก เลยเขียนไปหาเค้า โชคดีมีคนนึงตอบกลับมาเชิญไปดูห้อง ซึ่งพอเราไปดูห้องเสร็จก็ตอบตกลงได้ห้องเลย แต่ว่าห้องนี้จะว่างในอีกห้าวัน ก่อนหน้านั้นเราเลยขนของไปขอนอนบ้านเพื่อนคนนึงก่อน เพราะว่ายังไงก็ไม่อยากนอนดมกลิ่นบุหรี่อีกแม้แต่คืนเดียว

ข้อเสียอย่างหนึ่งของการเช่าห้องระยะสั้นช่วงที่เจ้าของหลักไปเที่ยวอย่างนี้ก็คือเราไม่สามารถใช้ที่อยู่ห้องนี้ไปลงทะเบียนเป็นที่อยู่ใหม่ของเราในเมืองนั้นได้ ซึ่งตามกฏหมายแล้ว หลังจากที่ย้ายเมือง เราต้องไปลงทะเบียนที่อยู่ใหม่ภายในระยะเวลาที่เค้ากำหนด เอาจริงๆในความเป็นจริงถึงเราจะย้ายบ้านแล้วไม่ไปลงทะเบียนที่อยู่ใหม่ก็ไม่ได้มีใครมาตามเช็คว่าที่อยู่เราถูกต้องมั้ย แต่ว่าถ้าเกิดแจ๊คพ็อตโดนเช็คขึ้นมาก็อาจจะโดนปรับได้ แต่ด้วยความที่ห้องเช่าแบบระยะยาวของเบอร์ลินมันหายากจริงๆเราเลยยอมหาห้องแบบระยะสั้นที่ใช้ลงทะเบียนที่อยู่ไม่ได้ไปก่อน แล้วกะว่าเดี๋ยวช่วงที่อยู่เบอร์ลินนั้นค่อยไปหาห้องแบบระยะยาวเอา สรุปแล้ว ไปๆมาๆ ภายในเดือนแรกที่เราไปอยู่ที่เบอร์ลินนี้เราต้องย้ายบ้านอยู่ถึงสามรอบ รอบแรกจากห้องที่เหม็นบุหรี่ไปอยู่บ้านเพื่อน รอบสองจากบ้านเพื่อนไปอยู่ห้องใหม่ที่หาได้ แต่ว่าห้องนั้นว่างแค่สองอาทิตย์ เสร็จแล้วเลยต้องย้ายไปอยู่ห้องระยะสั้นห้องใหม่อีกที (หาได้จาก wg-gesucht.de เหมือนกัน) ซึ่งห้องนี้เค้าให้อยู่ได้ถึงปลายเดือนมีนาคม แต่หลังจากที่ย้ายเข้าไปอยู่ เราเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวีซ่านักเรียนเราจะหมดปลายเดือนมีนาคมนี้!!! ก็คือภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้เราต้องขอเปลี่ยนวีซ่าเป็นวีซ่าสำหรับหางานเพราะว่าเราเรียนจบแล้ว แต่การจะขอวีซ่าเราต้องขอที่สำนักงานคนต่างด้าวของเมืองที่เราลงทะเบียนที่อยู่ไว้!!! ตอนนั้นเลยแพนิคมาก ส่งอีเมลล์หาห้องที่เจ้าของอนุญาตให้ใช้ลงทะเบียนที่อยู่ได้รัวๆๆ แล้วก็อัพงบค่าห้องจากก่อนหน้านี้ที่ตั้งไว้ที่เดือนละ 400 ยูโรขึ้นไปที่เดือนละ 600 ยูโร นอกจากนั้นเราก็ไปลงประกาศโฆษณาในเว็บ wg-gesucht.de ด้วยว่าเรากำลังหาห้องอยู่ ตอนนั้นมีห้องที่ตอบเมลล์เรามาอยู่สองห้อง ห้องแรกเป็นห้องใน WG ที่ราคาถูกมาก อยู่ในใจกลางเมืองและอยู่ได้ยาวเลยด้วย แต่ว่าเป็นห้องแบบเปล่าๆไม่มีเฟอร์นิเจอร์ที่เล็กมากๆ พื้นที่น่าจะไม่ถึง 8 ตร.ม. แถมสภาพอพาร์ตเมนต์โดยรวมเหมือนอยู่ในหนังผี เลยตัดสินใจไม่เอา อีกห้องนึงเป็นห้องใน WG ที่ใหญ่กำลังดี มีเฟอร์นิเจอร์ อยู่ในใจกลางเมือง แต่ว่าราคาแพงกว่าเกือบเท่าตัวและอยู่ได้แค่หกเดือน พอดีก่อนที่เราจะไปดูห้องนี้ มีคนนึงเขียนมาหาเราจากประกาศที่เราลงไว้ในเว็บ wg-gesucht.de ว่าเค้ามีห้องให้เช่า เราเลยไปดูห้องของคนนี้ก่อน ห้องนี้ใหญ่สุดในสามห้อง มีเฟอร์นิเจอร์ และอยู่ได้ยาว แต่ราคาแพงกว่าห้องที่สองนิดหน่อย และก็อยู่ออกนอกเมืองออกไปหน่อย แต่คุยไปคุยมา เจ้าของห้องที่เป็นแฟลตเมทด้วยดูคุยดีและสบายๆเป็นกันเองมาก เค้าเป็นคุณลุงชาวเยอรมันที่ชอบประเทศไทยและไปเที่ยวไทยยาวๆทุกปี แล้วด้วยความที่ห้องนี้อยู่ได้ยาว และเค้าบอกอีกว่าถ้าอยากจะย้ายออกเมื่อไหร่ก็แค่บอกล่วงหน้าแค่เดือนเดียวก็พอ เลยตัดสินใจอยู่ห้องนี้ไปเลย พอตกลงกันเสร็จ ลุงเจ้าของห้องก็กรอกเอกสารสำหรับเอาไปใช้ลงทะเบียนที่อยู่ให้ เป็นอันว่าคลายปัญหาไปได้อีกหนึ่งเปลาะ หาที่อยู่ที่เราสามารถเอาไปใช้ลงทะเบียนได้ได้แล้ว แถมยังเป็นห้องแบบระยะยาวอีกด้วย (ซึ่งอันนี้ถือว่าโชคดีมาก เพราะว่าปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะใช้เวลาหานานมากกว่าจะได้ห้องแบบระยะยาวที่เมืองเบอร์ลิน)

ปัญหาถัดไปที่ต้องจัดการคือการจองนัดที่สำนักงานสำหรับลงทะเบียนที่อยู่ และการจองนัดสำหรับเปลี่ยนวีซ่าที่สำนักงานคนต่างด้าว ซึ่งเมืองเบอร์ลินนี้นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องความยากของการหาที่อยู่แล้ว ยังขึ้นชื่อเรื่องความยากของการจองนัดของสำนักงานรัฐเหล่านี้ด้วย (ปัญหาของความเป็นเมืองใหญ่ที่คนเยอะ และความที่ประเทศเยอรมนีค่อนข้างหัวโบราณในเรื่องเกี่ยวกับงานเอกสารต่างๆเหล่านี้ด้วย แทนที่จะพัฒนาทุกอย่างให้เป็นระบบดิจิตัลเพื่อลดกระบวนการทั้งหลายแหล่และประหยัดเวลา แต่ก็ไม่ยอมทำ แม้แต่ระบบจองนัดแบบออนไลน์นี้นี่รู้สึกว่าก็เพิ่งจะมามีตอนช่วงโควิดนี่แหละ) ถ้ากดเข้าไปในเว็บสำหรับจองนัด จะไม่เคยเจอนัดว่างเลยยยย เราต้องไปหาอ่านคอมเมนต์ของคนอื่นในกรุ๊ปต่างๆในเฟสบุ๊คว่าเราต้องนั่งรีเฟรชเว็บรัวๆเอาเองเพื่อรอช่วงที่มีคนยกเลิกนัด หรือช่วงที่เค้าปล่อยนัดใหม่ๆออกมา จะได้ปุบปับกดนัดเอาได้เดี๋ยวนั้นเลย ไม่งั้นจะโดนคนอื่นแย่งนัดไปก่อน เพราะว่าคนแย่งกันจองนัดเยอะมากกกกกก ซึ่งเทคนิกการจองนัดของ Bürgeramt ซึ่งเป็นสำนักงานสำหรับลงทะเบียนที่อยู่ กับ Landesamt für Einwanderung ซึ่งเป็นสำนักงานสำหรับขอวีซ่าจะต่างกันอยู่ดังนี้ (สำหรับแค่ของเมืองเบอร์ลินนะ)

Bürgeramt

  • ต้องรีเฟรชช่วงเช้าๆถึงก่อนเที่ยง นัดของวันนั้นที่มีคนยกเลิกจะขึ้นมาให้กดเป็นระยะๆ ในเบอร์ลินจะมี Bürgeramt อยู่ประจำโซนต่างๆของเมือง นัดที่ว่างของทุกโซนจะถูกโชว์รวมกันในเว็บนัด เราต้องอ่านดูเอาเองตอนกดว่านัดที่ว่างนัดนั้นเป็นนัดของ Bürgeramt ในโซนไหน อยู่ใกล้หรือไกลจากเราแค่ไหน แต่ว่าเราสามารถไปลงทะเบียนที่อยู่ที่ Bürgeramt ในโซนไหนก็ได้ ไม่ได้จำกัดว่าต้องไปลงที่ Bürgeramt ในโซนที่เราอาศัยอยู่

Landesamt für Einwanderung

  • ช่วงเช้าวันจันทร์กับอังคารเค้าจะปล่อยนัดที่มีคนแคนเซิลมาให้เรากด
  • ช่วงบ่ายวันพุธเค้าจะปล่อยนัดออกมาเยอะมาก แต่ว่าจะเป็นนัดสำหรับวันถัดไปเท่านั้น ตอนที่เรากดนัดได้ก็คือกดตอนช่วงบ่ายวันพุธนี่แหละ แต่กว่าจะกดได้ก็รากเลือดอยู่ เพราะว่านั่งรีเฟรชหน้าเว็บตั้งแต่บ่ายโมง เปิดอยู่สาม browsers ทั้งในคอมกับในมือถือ แล้วก็รีเฟรชสลับๆกันไปอยู่จนเกือบบ่ายสาม บางทีรีเฟรชแล้วกดคิวเข้าไปหน้าต่อไปได้จนเจอปฏิทินให้เลือกวันแล้ว แต่ปรากฏว่าเว็บค้างที่หน้านั้น ก็ต้องย้อนกลับไปรีเฟรชใหม่อีก (แต่ไปอ่านในเว็บมาทีหลัง เค้าบอกว่าไม่ต้องกดย้อนกลับ ให้รีเฟรชหน้านั้นแหละ แล้วถ้าโชคดีเดี๋ยวมันจะโหลดมาใหม่ให้เลือกกดเวลาได้) แล้วเว็บค้างบ่อยมากเพราะว่าตอนบ่ายวันพุธต้องมีหลายๆคนแย่งกันนั่งรีเฟรชกันอยู่ที่บ้านแน่นอน เพราะฉะนั้นใครที่รีบมาก ต้องขอเปลี่ยนวีซ่าแบบด่วนๆ เตรียมลาเรียนลางานบ่ายวันพุธกับวันพฤหัสทั้งวันไว้ แล้วเตรียมใจกดรีเฟรชรัวๆตอนบ่ายวันพุธไว้เลย และที่ต้องลางานวันพฤหัสทั้งวันก็เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะกดได้เวลาไหน คือจริงๆมันมีให้กดเลือกเวลาแหละแต่ด้วยความที่คนแย่งกันกดเยอะมาก ถ้ากดจนผ่านไปถึงหน้าที่เป็นปฏิทินได้แล้ว และกดวันที่ที่เป็นวันถัดไปได้แล้ว ก็ควรกดถัดไปเลย ไม่ต้องไปกดเลือกดูแล้วว่ามีเวลาไหนว่างบ้าง เวลาไหนที่เว็บขึ้นมาให้ก็เอาเวลานั้นแหละ (เว็บจะขึ้นเวลาที่เช้าที่สุดที่มีนัดว่าง) ถ้ามัวแต่ไปดูว่าเวลาไหนยังว่างอยู่แล้วนั่งเลือกเวลา เดี๋ยวระหว่างนั้นก็โดนคนอื่นแย่งหรือเผลอๆเว็บจะค้างอีกพอดี (แต่ไปอ่านในเว็บมาทีหลัง เค้าบอกว่าควรกดเลือกเวลาแล้วเลือกเวลาที่อยู่หลังๆ เพราะว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกเวลาที่เว็บกำหนดมาให้แล้วก็รีบกดต่อไปเหมือนกัน อันนี้ก็ต้องชั่งใจเอาเองละกันว่าจะเลือกใช้กลยุทธไหน 555)
  • นอกจากเว็บกดคิวแล้ว เราสามารถเขียนอีเมลล์ไปยังเว็บของ Landesamt für Einwanderung เพื่อขอนัดคิวได้ แต่ว่าอาจจะต้องรอเป็นเดือนกว่าจะมีใครตอบคิวมา เพราะฉะนั้น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเถอะ 5555
โรงพยาบาลร้างแห่งหนึ่งในย่านชานเมืองของกรุงเบอร์ลิน

และด้วยกลยุทธการจองคิวที่เราไปรวบรวมมาจากแหล่งต่างๆนี้ ก็ทำให้ในที่สุดเราก็ได้ลงทะเบียนที่อยู่ และได้วีซ่าสำหรับหางานมาครองจนได้ และระหว่างนั้นเราก็หางานที่บริษัทแห่งหนึ่งได้แล้วด้วย! ก็เป็นอันว่าช่วงเปลี่ยนผ่านหลังจากการเรียนจบและการย้ายเมืองนี้ก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น ช่วงต่อไปก็จะเป็นช่วงของชีวิตทำงานอย่างจริงๆจังๆแล้วนะ ซึ่งก็เป็นอะไรที่ทั้งน่าตื่นเต้นและแอบน่าตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย ต้องบอกเลยว่าหลังจากที่โดนความเครียดจากตอนทำธีสิสซัดจนน่วม และโดนปฏิเสธสมัครงานมาหลายที่ ทำให้ความมั่นใจในตัวเองของเราลดลงไปเยอะ ในสมองมีแต่คำถามว่าเราเก่งจริงเหรอ เราดีพอรึเปล่า เราจะทำได้รึเปล่า ทำไมเรียนจบป.โทมาแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมคือยังทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่ทักษะที่เราได้มาจากตอนฝึกงานกับตอนทำธีสิสต่างๆก็ยังสงสัยว่ามันจะเพียงพอเหรอสำหรับการทำงานจริงๆ แล้วยังความเป็นคนต่างชาติอีก ภาษาอีกที่ถึงจะอยู่มาตั้งหลายปีแล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่างูๆปลาๆอยู่ดี ฯลฯ ที่ทำงานที่เค้ายื่นข้อเสนอรับเราเข้าทำงานมานี้เค้าลดตัวเลขเงินเดือนจากที่เราเสนอไปประมาณ 10 เปอร์เซนต์ ความจริงเราน่าจะต่อรองขอขึ้นเงินจากที่เค้าเสนอมาให้ได้แหละ แต่ด้วยความที่อยู่ในอารมณ์ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง และด้วยความที่งานไม่ได้ตรงกับประสบการณ์ของเราและสิ่งที่เราเรียนมามาก แต่เป็นงานที่เราสนใจด้วย (คือเราเรียนมาทางวิศวะ แต่ว่าอยากเปลี่ยนไปทำงานทาง IT) เลยไม่ได้ต่อรอง รับเงินเดือนที่เค้าเสนอมาเลย กะว่าขอไปเรียนรู้ไปเก็บประสบการณ์ก่อน ทำให้ดีแล้วค่อยขอขึ้นเงินทีหลัง อาจจะเป็นช่วงที่ผ่านโปรแล้วไรงี้ (ช่วงโปรของที่เยอรมนีปกติแล้วจะกินเวลา 6 เดือน) ณ ตอนที่เขียนโพสต์นี้อยู่ ยังมีเวลาอีกสองอาทิตย์ก่อนงานจะเริ่ม เดี๋ยวหลังทำงานไปซักพักแล้วจะกลับมาเขียนเล่าว่าเป็นยังไงบ้าง

กลับมาปิดท้ายโพสต์ด้วยเรื่องของชีวิตในเมืองเบอร์ลินดีกว่า ตอนแรกที่เราย้ายมาอยู่นี่ก็กะว่าจะมาลองชิมลางเฉยๆ ว่าพอมาอยู่จริงแล้วมันจะเป็นยังไง จะชอบเหมือนตอนมาเที่ยวเฉยๆ รึเปล่า ช่วงที่มาแรกๆก็ออกไปเที่ยวไปอะไรเหมือนตอนมาเที่ยวปกตินะ แต่อยู่ไปๆมาๆ ก็อยู่บ้านซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งพออยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ จะอยู่เมืองไหนมันก็เหมือนกันหมดแหละ 555 แต่ข้อดีของการอยู่เบอร์ลินคือ ถ้าเกิดวันไหนมีอารมณ์อยากออกไปเที่ยวเมื่อไหร่ ก็นั่งรถใต้ดินเข้าเมืองได้เลย แป๊บเดียวถึงใจกลางเมือง ร้านอาหาร กิจกรรมต่างๆ เที่ยวกลางคืน มีตัวให้เลือกเยอะแยะไม่หวาดไม่ไหว แล้วถ้าซื้อตั๋วโดยสารรถประจำทางรายเดือน เราจะสามารถนั่งรถสาธารณะไปไหนมาไหนเมื่อไหร่ก็ได้ในราคาที่ถูกกว่าการซื้อตั๋วรายวันหรือรายสัปดาห์ตอนที่มาเที่ยวปกติมาก ยิ่งถ้าซื้อตั๋วรายเดือนแบบที่ใช้ได้แค่ระหว่างสิบโมงเช้ากับตีสามในแต่ละวันเท่านั้นจะยิ่งถูกลงไปอีก (10-Uhr-Karte) ข้อเสียข้อเดียวในเบอร์ลินสำหรับเราก็คือเพราะความที่เมืองใหญ่ บางทีเวลาเดินทางจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งที่อยู่คนละฟากของเมืองจะใช้เวลานานมาก อย่างเวลานัดเพื่อนอะไรงี้ แต่ปกติแล้วในชีวิตจริงเราก็ใช้ชีวิตอยู่แค่แถวๆบ้านนี่แหละ จะออกไปไหนไกลๆก็ซักอาทิตย์ละครั้ง สรุปแล้วก็คือเอนจอยชีวิตที่มีสีสันในเบอร์ลินนี้มาก ตั้งใจจะอยู่ไปอีกพักใหญ่ๆเลย

Bellevue Palace บ้านพักของประธานาธิบดีประเทศเยอรมนี

อย่าทำธีสิสที่บริษัท!

กลับมาอีกครั้งหลังจากไปเผชิญมรสุมชีวิตมาอยู่หลายเดือน โพสต์นี้เราจะมารีวิวประสบการณ์การทำธีสิสที่บริษัทที่อยากจะลืมๆไปจากความทรงจำ

ในโพสต์เก่าของเราที่เขียนไว้ตอนก่อนเริ่มทำธีสิส เราเขียนปิดท้ายไว้ว่า “ตอนนี้คือแอบนึกเบาๆว่าคิดถูกแล้วใช้มั้ยที่คิดมาทำธีสิสที่บริษัท ที่นอกจากไม่รู้ว่าจะหนักหรือยากกว่าการทำธีสิสที่มหาลัยมั้ย แล้วยังต้องคอยติดต่อประสานงานกับที่ปรึกษาทั้งสองคนอีก ซึ่งไม่รู้ความเห็นจะตรงกันหรือขัดแย้งกันแค่ไหนด้วย และยังหลอนว่าจะทำทันมั้ยด้วย” มองจากจุดนี้ย้อนกลับไปจะบอกว่าคิดถูกรึเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเลือกไม่ทำธีสิสที่บริษัท เลือกทำที่มหาลัยดีกว่า T.T จริงอยู่ว่าการทำธีสิสที่บริษัทมันก็มีข้อดีหลายอย่าง เช่นมีเงินเดือนให้ มีประสบการณ์ไปเขียนลง CV และอาจจะได้คอนเนคชั่นดีๆ หรือได้โอกาสเข้าทำงานต่อหลังจบธีสิสก็ได้ แต่ประสบการณ์ของเราที่ผ่านมามันช่างรากเลือดซะเหลือเกิน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเล่านี้ก็เป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัวของเรานะซึ่งก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ลงเอยอย่างนี้ คนอื่นๆที่ทำธีสิสที่บริษัทอาจจะมีประสบการณ์ที่ดีก็ได้ แต่เราขอเล่าจากประสบการณ์ตัวเองว่ามีความยากลำบากอะไรบ้างที่ต้องเจอระหว่างการทำธีสิส ใครที่มาอ่านจะได้รู้ว่าควรเตรียมตัวยังไงถ้าตั้งใจอยากจะทำธีสิสที่บริษัทจริงๆ

ห้องสมุด Stadtbibliothek ในเมือง Stuttgart ใกล้กับเมืองที่เราทำธีสิส

หาบริษัทที่รับเราทำธีสิส

ก่อนอื่นเลย ถ้าอยากทำธีสิสกับบริษัทก็ต้องหาบริษัทที่จะรับเราทำธีสิสก่อน ซึ่งปกติหลายๆบริษัทก็จะเปิดรับสมัครนักศึกษามาทำธีสิสในเว็บเค้าอยู่แล้ว สมัครผ่านเว็บได้เลย บางบริษัทก็จะมีหัวข้อและเป้าหมายคร่าวๆของธีสิสลงในประกาศรับสมัครไว้แล้วด้วย บางบริษัทก็ไม่มี เราต้องไปตกลงกับเค้าเองว่าเรามีความสนใจอะไร อยากทำธีสิสเรื่องอะไร และมันเป็นประโยชน์กับตัวบริษัทยังไง สำหรับขั้นตอนนี้ ถ้าก่อนหน้าที่จะสมัครทำธีสิส เราทำงานพาร์ทไทม์หรือฝึกงานที่บริษัทนั้นอยู่แล้ว โอกาสที่เค้าจะรับเราทำธีสิสก็จะมากขึ้น ซึ่งเราอยู่ในกรณีนี้ เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร สมัครที่แรกก็ได้เลย

หาที่ปรึกษา Internal Supervisor

อุปสรรคแรกเลยที่เราเจอคือการหาที่ปรึกษาจากมหาลัย คือการทำธีสิสที่บริษัท เราจะมีที่ปรึกษาสองคน คนแรกคือที่บริษัท (external supervisor) คนที่สองคือที่มหาลัย (internal supervisor) ถ้าเราหาบริษัทที่รับเราทำธีสิสได้แล้ว เราก็จะได้ที่ปรึกษาที่บริษัทมาแล้ว แต่เราต้องไปหาที่ปรึกษาที่มหาลัยให้ได้ก่อน ถึงจะเซ็นสัญญาทำธีสิสที่บริษัทเค้าได้ ซึ่งที่ปรึกษาที่มหาลัยก็ควรมาจาก institute ที่มีหัวข้อการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับงานที่เราทำในธีสิสด้วย เพราะว่าหนึ่ง เค้าจะได้ให้คำปรึกษาเราได้ และสอง ตอนที่เราส่งธีสิส คนจาก institute นั้นจะเป็นคนให้คะแนนธีสิสของเรา นอกจากนั้น institute นั้นก็ต้องเป็น institute ที่สามารถเป็นที่ปรึกษาธีสิสให้นักศึกษาจากคณะที่เราอยู่ได้ด้วย ตอนนั้นเราใช้เวลาหาอยู่นานพอสมควร ต้องเขียนอีเมลล์ไปหาหัวหน้าของ institute ที่สนใจแล้วก็อธิบายว่าฉันได้ข้อเสนอทำธีสิสที่บริษัท ซึ่งงานที่ทำเกี่ยวกับอย่างนี้ๆๆๆ แล้วรอเค้าตอบ จากที่สังเกต เรามีความรู้สึกว่าที่ปรึกษาที่มหาลัยเค้าไม่ค่อยอยากจะรับเป็นที่ปรึกษาให้คนที่ทำธีสิสที่บริษัท เพราะว่ามันอารมณ์เหมือนเป็นการรับงานเพิ่มจากงานที่เป็นของเค้าอยู่แล้ว โดยปกติแล้วที่ปรึกษาที่มหาลัยเค้าก็จะทำงานวิจัยของเค้าเองอยู่แล้ว และบางคนก็จะเอาส่วนหนึ่งของงานวิจัยนั้นมาเป็นหัวข้อธีสิส แล้วหานักศึกษาในมหาลัยมาทำธีสิสเรื่องนั้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเค้าทำงานวิจัยของเค้าเองไปในตัว งานที่เค้าต้องทำก็ลดลง ส่วนนักศึกษาก็ได้หัวข้อไปทำธีสิส เป็นการวินวินทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าเค้ารับเป็นที่ปรึกษาให้นักศึกษาที่ทำธีสิสที่บริษัท งานวิจัยของตัวเค้าก็ไม่ได้ลดลง แถมยังต้องรับภาระมาทำเพิ่มอีก บาง institute ถึงกับเขียนในเว็บเลยว่าไม่รับเป็นที่ปรึกษาให้ธีสิสที่ทำกับบริษัท ด้วยเหตุนี้ การหาที่ปรึกษาที่มหาลัยเลยค่อนข้างเป็นอุปสรรค ยกเว้นแต่ว่าเรารู้จักที่ปรึกษาคนไหนเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วและสามารถขอให้เค้าช่วยเป็นที่ปรึกษาให้เราได้

ข้อดีของการทำธีสิสที่บริษัทคืออาหารที่โรงอาหารดีงามมากและราคาถูก

ณ ตอนนั้น เรากังวลมากว่าจะหาที่ปรึกษาที่มหาลัยไม่ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในใจตอนนั้นเลยคือทำยังไงก็ได้ให้ได้ทำธีสิสที่บริษัท พอมีที่ปรึกษาที่มหาลัยคนนึงตอบตกลงมา เราเลยตอบรับไปเลย ซึ่งสิ่งนี้ก็นำมาซึ่งความปวดหัวอีกมากมายที่ตามมา สาเหตุหลักๆเลยคือเพราะ institute ของที่ปรึกษาคนนี้เป็น institute ที่ซีเรียสมากในหลายๆเรื่อง ความปวดหัวที่เกิดขึ้นก็เช่น

  1. ในสัญญาทำธีสิสของเราจะมีเอกสารให้ institute ที่มหาลัยเซ็นสัญญาปกปิดความลับด้วย ซึ่ง institute ที่เป็นที่ปรึกษาให้เราก็จะไม่ยอมเซ็น ต้องนัดโทรซูมคุยกันเพิ่มเติมระหว่างเรากับที่ปรึกษาทั้งสองคน สรุปว่าบริษัทต้องไปแก้สัญญาใหม่ ให้ไม่ต้องเซ็นเอกสารปกปิดความลับ (ตอนแรกนึกว่าเค้าจะไม่ให้เราทำธีสิสซะแล้ว)
  2. ปกติแล้วหลังเริ่มทำธีสิส เราต้องลงทะเบียนธีสิสของเราที่มหาลัย เสร็จแล้วเค้าจะมีกำหนดระยะเวลาสำหรับการทำธีสิสมาให้ซึ่งจะนับจากวันที่ลงทะเบียน ซึ่งเราต้องส่งธีสิสของเราภายในระยะเวลานั้น ไม่งั้นจะโดนปรับตก ต้องไปหาธีสิสเริ่มทำใหม่ ซึ่งจากที่เราถามๆเพื่อนหลายๆคนที่ทำธีสิสที่ institute อื่นๆมา เค้าบอกว่า institute เค้าไม่ได้ซีเรียสเรื่องวันลงทะเบียน เริ่มทำธีสิสไปหลายๆเดือนก่อนแล้วค่อยลงทะเบียนก็ได้ หรือหลายๆคนก็ไปลงทะเบียนเอาตอนที่ทำเสร็จแล้วนู่นเลย แบบทำให้เสร็จก่อน แล้วก็ลงทะเบียน แล้วก็ส่งเลย อะไรอย่างนี้ แต่ institute ที่เป็นที่ปรึกษาให้เรานั้นซีเรียสมาก ต้องลงทะเบียนภายในหนึ่งเดือนหลังเริ่มทำ ทำให้พอใกล้ๆถึงกำหนดส่ง มันมีความเครียดมาบีบคั้นเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า
  3. ด้วยความที่งานธีสิสที่เราทำนั้นใช้ความรู้หลายๆศาสตร์มารวมกัน ที่ปรึกษาที่บริษัทก็เชี่ยวชาญศาสตร์นึง institute ของที่ปรึกษาที่มหาลัยก็เชี่ยวชาญอีกศาสตร์นึง ทำให้ความคาดหวังจากบริษัทกับจากมหาลัยไปคนละทาง บางอย่างที่บริษัทให้ทำ institute ที่มหาลัยอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ ซึ่งตัวที่ปรึกษาที่บริษัทก็ให้ทำเยอะมาก เอาอะไรมาให้อ่านเยอะมากกก จนแค่ศาสตร์ของทางฝั่งบริษัทตัวเดียวก็กินเวลาหาข้อมูลไปเยอะมากแล้ว ไปๆมาๆเลยแทบจะไม่มีเวลาไปหาอ่านข้อมูลในฝั่งของศาสตร์ของ institute ของที่ปรึกษาที่มหาลัยเลย แต่คนที่ให้คะแนนธีสิสเรานั้นเป็นคนจาก institute ของมหาลัยน่ะสิ แล้วด้วยความที่ institute นี้เป็น institute ที่ซีเรียส เค้าเลยจริงจังมากกับการที่เนื้อหาของธีสิสของเราต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ของ institute นั้นแบบเจาะลึก (ในขณะที่บาง institute ที่ไม่ได้ซีเรียส ถ้าเค้าเป็นที่ปรึกษาให้เราในกรณีที่เราทำธีสิสที่บริษัท เค้าจะไม่ได้สนใจมากว่าเนื้อหาในธีสิสของเราเกี่ยวกับ institute ของเค้ามากแค่ไหน แค่จะติดตามผลเป็นระยะๆ และเน้นให้เราทำวิจัยอย่างถูกต้องตามแบบแผนแค่นั้น) ช่วงท้ายๆเราเลยต้องเค้นเอาแรงกายแรงใจที่ยังเหลืออยู่อย่างน้อยนิดมาเพื่อมาหาข้อมูลของศาสตร์ทางฝั่งมหาลัยมาเสริมในตัวธีสิสเท่าที่พอทำได้ ซึ่งมันเป็นวิชาที่ยากมากๆ ด้วยความที่พลังกายพลังใจแทบหมดแล้ว แต่ยังต้องมาหาอ่านข้อมูลที่ยากและตรงกันข้ามกับศาสตร์ของฝั่งบริษัทแบบลิบลับอีก ทำให้ช่วงท้ายๆของธีสิสเป็นช่วงที่เราเครียดและวิตกกังวลมากๆแบบตลอดเวลา บางช่วงเครียดจนกินไม่ได้ นอนหลับไม่ลง หัวใจเต้นแรงตูมๆอยู่ในอกติดต่อกันอยู่สองสามวัน หลายๆช่วงคือเครียดจนอยากจะเลิกทำเลิกเรียนซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย T.T สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น หรืออย่างน้อยก็จะไม่ย่ำแย่ขนาดนี้ถ้าตอนนั้นเราหาที่ปรึกษาในมหาลัยจาก institute ที่ตรงกันกับศาสตร์ของที่ปรึกษาที่บริษัทได้ หรือหาที่ปรึกษาในมหาลัยจาก institute ที่ไม่ซีเรียสได้ ในกรณีนี้เราก็ยังใช้ทั้งสองศาสตร์นี้ในงานธีสิสของเรา แต่ว่าไม่จำเป็นต้องไปทำวิจัยวิเคราะห์เจาะลงลึกไปในศาสตร์ที่สอง แค่โฟกัสที่ศาสตร์แรกแล้วแค่เลือกเอาความรู้ที่ต้องใช้จากศาสตร์ที่สองมาใช้ในงานก็พอ

สรุปแล้วไปๆมาๆ ความเครียด ความวิตกกังวล ความปวดหัวทั้งหมดทั้งมวลในการทำธีสิสของเรามาจากที่ปรึกษาและ institute ที่มหาลัยทั้งนั้นเลยนี่หว่า (เพิ่งสังเกตตอนที่เขียนโพสต์นี้นี่แหละ) 55555555 เรื่องตัวงานที่ทำไม่ใช่ประเด็นหลักของความเครียดเท่าไหร่ ประเด็นสำคัญหลักๆที่เป็นต้นตอของความเครียดใหญ่ๆของเราในการทำธีสิสครั้งนี้จะเป็น

  1. เราต้องทำงานให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา ข้อนี้ไม่รู้ว่าบริษัทอื่นเป็นไง แต่บริษัทของเรา ถ้าทำธีสิสไม่เสร็จภายในระยะเวลานั้นก็ต่อสัญญาให้ได้ อย่างที่ปรึกษาที่บริษัทของเราก็บอกว่าการต่อสัญญาที่บริษัทนั้นไม่ยุ่งยาก แต่ในกรณีของเรานั้น ด้วยความที่ institute ของที่ปรึกษาที่มหาลัยซีเรียสและให้เราลงทะเบียนธีสิสตั้งแต่ภายในหนึ่งเดือนหลังเริ่มทำเลย ทำให้ยังไงเราก็ต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลานั้นอยู่ดี เพราะเค้านับวันกำหนดส่งธีสิสจากวันที่ลงทะเบียน และขอเลื่อนออกไปไม่ได้ด้วย นอกจากจะมีเหตุผลที่สำคัญจริงๆ
  2. ต้องไปอ่านวิจัยทางศาสตร์ของที่ปรึกษาที่บริษัท และยังต้องไปหาอ่านวิจัยทางศาสตร์ของ institute ของที่ปรึกษาที่มหาลัยอีก ไปๆมาๆ เหมือนกับต้องทำธีสิสสองหัวข้อไปพร้อมๆกัน
  3. ด้วยความที่โดนบังคับให้รีบลงทะเบียนตั้งแต่เริ่มทำธีสิสตอนแรก เลยกดดันและเครียดมากๆตอนที่ใกล้ถึงวันกำหนดส่งงาน ถ้าไม่มีเดดไลน์มาจ่อตูดก็คงสบายขึ้นเยอะ

เพราะฉะนั้น จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมา ขอแนะนำอย่างยิ่งสำหรับใครที่จะทำธีสิส ไม่ว่าจะที่บริษัทหรือที่มหาลัย ว่าตัวที่ปรึกษาและ institute ของที่ปรึกษาที่มหาลัยสำคัญมากๆๆ ให้ถามเพื่อนถามรุ่นพี่ในคณะเยอะๆว่ามีใครเคยรีวิวมั้ยว่า institute ไหนเป็นยังไง หรือใครเคยทำธีสิสที่ institute ไหนแล้วประสบการณ์เป็นยังไงบ้าง ตอนที่คุยกับที่ปรึกษาตอนสัมภาษณ์ตอนแรกก็สำคัญ ต้องลองชวนคุยเยอะๆ ถามเยอะๆ ให้พอประเมินได้ว่าที่ปรึกษาเราเป็นคนยังไง เป็นคนจริงจัง หรือชิวๆ และเค้าดูเข้ากับเราได้มั้ย เพราะอย่างไรก็ตาม เรารู้สึกว่าไม่ว่าจะในการทำธีสิส การทำงาน หรืออะไรก็ตามแต่ ตัวคนที่เราต้องใช้เวลาอยู่ด้วยสำคัญกว่าความยากของตัวงานมาก อย่างที่เค้าบอกว่าคับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยากนั่นแหละ

สรุปแล้ว สิ่งที่เราจะทำถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คือจะทำธีสิสให้เสร็จก่อน แล้วค่อยฝึกงาน จะธีสิสในมหาลัยหรือนอกมหาลัยก็ได้แล้วแต่ แต่ส่วนตัวถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะทำธีสิสในมหาลัย เลือกที่ๆสบายๆแต่ได้ฝึกทักษะที่เราสนใจ ถ้าให้ดีคือหางานเสริมทำในมหาลัยในระหว่างที่เรียนอยู่ไปด้วย พยายามเลือกหางานที่ได้ฝึกทักษะที่น่าสนใจ พอถึงเวลาที่ต้องทำธีสิส เราจะได้มีคอนเนคชั่นในมหาลัยใน institute ที่เราทำงานอยู่แล้ว จะได้หาหัวข้อทำธีสิสได้ง่ายๆ หรือถ้าอยากจะทำธีสิสที่บริษัทข้างนอกก็จะได้หา internal supervisor ได้ง่ายๆจาก institute ที่เราเคยทำงานมา แล้วพอเสร็จธีสิสแล้วค่อยหาฝึกงานที่บริษัทข้างนอก หาบริษัทและตำแหน่งที่มีโอกาสรับเราเข้าทำงานต่อหลังฝึกงานเสร็จ ระหว่างที่ทำธีสิสกับฝึกงานก็ปล่อยวิชาที่ต้องสอบที่มหาลัยที่ง่ายๆเหลือทิ้งไว้ตัวนึง จะได้ยังมีสถานะนักเรียนอยู่ เพราะว่าถ้าไม่ได้เป็นนักเรียนจะฝึกงานไม่ได้ พอฝึกงานเสร็จก็ค่อยไปสอบวิชานั้น พอสอบผ่านแล้วก็จะถือว่าเรียนจบ จะได้เข้าทำงานที่บริษัทนั้นต่อได้เลย ถ้าเกิดว่าเราโอเคกับตัวบริษัทและตำแหน่งที่ได้อะนะ ถ้าเกิดว่าไม่โอเคหรือไม่มีตำแหน่งก็หาสมัครที่ใหม่เอาอีกที อย่างน้อยการทำธีสิสก่อนฝึกงานก็เป็นการทำสิ่งที่ยากที่สุดให้ผ่านไปก่อน พอฝึกงานก็จะไม่เครียดเท่าแล้ว เพราะไม่ต้องเขียนเล่มส่งให้ทันตามกำหนด พอไม่เครียดก็จะมีเวลาและมีกะจิตกะใจเตรียมตัวหาสมัครงานและสัมภาษณ์งานด้วย อีกอย่างตอนฝึกงานเรารู้วันที่จะฝึกเสร็จชัวร์ๆ ตอนทำธีสิสมันมีโอกาสที่เราจะทำช้าจนต้องขอเลื่อนเวลาออกไป ทำให้มีความไม่แน่นอนว่าจะเรียนจบเมื่อไหร่ และจะเริ่มทำงานได้เมื่อไหร่

ซากอาศรมในเมือง Hirsau ใกล้ๆกับเมืองที่เราทำธีสิส

หลังจากสามสี่เดือนที่เต็มไปด้วยความเครียดและความวิตกกังวลที่กัดกินใจจนสุขภาพจิตเกือบพังพินาศผ่านไป ในที่สุดเราก็ได้อีเมลล์แจ้งเตือนมาจากมหาลัยว่าธีสิสของเราผ่านแล้ว และภูเขาหิมาลัยที่กดทับเรามาตลอดช่วงเวลานั้นก็ถูกยกออกจากอก ในที่สุดก็หลุดพ้นและเลิกวิตกกังวลแบบถาวรได้ซักที จะได้เริ่มต้นหางานแบบจริงๆจังๆแบบไม่มีห่วงได้ซักทีด้วย ตอนที่ยังทำธีสิสอยู่นั้น ด้วยความเครียดมหาศาลทำให้เรามานั่งทบทวนชีวิตใหม่ว่าจากนี้ต่อไปแล้วเราต้องการอะไรกันแน่ อะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต ในชีวิตนี้เราก็ได้ไปเที่ยวไปเห็นอะไรมาเยอะพอประมาณแล้ว จนตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะไปเที่ยวไหนเป็นพิเศษแล้ว อยากจะมีชีวิตเรียบง่ายๆ ในที่ๆอยู่แล้วสบายใจ ทำงานเก็บเงิน มี work-life-balance สุดสัปดาห์ไปเที่ยวพักผ่อนพอเป็นพิธี (เหมือนชีวิตตอนที่ฝึกงาน) ก่อนหน้านั้นเวลาเราคิดถึงเมืองที่เราอยากไปใช้ชีวิตอยู่ตอนทำงานจะไม่เคยคิดถึงเมืองไหนเป็นพิเศษ แต่ตอนนั้นเหมือนมีเสียงในหัวพูดกับตัวเองว่า เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว เมืองที่เธอชอบและอยากจะไปอยู่มาตลอดก็คือเมืองเบอร์ลิน ตอนนี้ได้เวลาแล้ว ถ้าไม่หาทางไปอยู่ตอนนี้จะได้ไปอยู่ตอนไหน 5555 ตั้งแต่นั้นมาเลยปักหมุดเลยว่าจะหางานในเมืองเบอร์ลินเป็นหลัก แล้วก็ตัดสินใจหอบข้าวของย้ายไปหาบ้านเอาดาบหน้าที่เบอร์ลินเลย 555 และอีกอย่างที่เราคิดถึงอยู่บ่อยๆมากตอนที่ทำธีสิสอยู่คือครอบครัวที่ไทย คือมีความรู้สึกว่าในชีวิตนี้เราได้เรียนสูง ได้ไปเที่ยวไปเห็นอะไรมาเยอะแยะมากมาย แต่ว่าเราเสียช่วงเวลาในการใช้ชีวิตกับพ่อแม่ไปเยอะมาก และเสียเวลาในการเติบโตไปพร้อมกับน้องชายไปค่อนชีวิตของน้อง ไม่ได้อยู่กับน้องตอนน้องเติบโตจากวัยเด็กไปเป็นวัยรุ่น ในความคิดของเรา ยังคิดว่าน้องชายยังเป็นเด็กอยู่เสมอ แต่พอกลับไทยไปทีไรน้องก็จะโตขึ้นเยอะมากจนเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ซึ่งพอจะเล่นกับน้องเหมือนตอนยังเป็นเด็กน้องก็ไม่ค่อยเล่นด้วยแล้ว ยิ่งก่อนหน้านั้นเพิ่งดูหนังเรื่อง Everything Everywhere All at Once ที่ตัวหนังพูดถึง multiverse มาด้วย เราเลยมานั่งนึกบ่อยๆว่าในอีกโลกคู่ขนานที่เราไม่ได้ย้ายมาเรียนม.ปลายที่กรุงเทพ ที่เราไม่ได้เรียนสูงๆแต่ว่าได้อยู่บ้านกับพ่อแม่กับน้อง ชีวิตเราจะเป็นยังไงน้า เราจะมีความสุขมั้ยน้า ช่วงท้ายๆของการทำธีสิส มีหลายช่วงที่เราถึงกับขนาดคิดว่าอยากกลับไทยเลย กลับไปอยู่ในบ้านเกิดของเรา กับพ่อแม่ กับน้อง… แต่พอรู้ว่าธีสิสผ่านแล้วก็ยังอยากหางานทำอยู่ที่เยอรมันต่อแหละ อย่างน้อยก็อยากทำงานอยู่ที่นี่จนได้พาสปอร์ตเยอรมันก่อนแล้วค่อยคิดอีกทีว่าอยากกลับไทยมั้ย แต่ว่าเราอยากเปลี่ยนสายในการทำงาน จากที่เรียนวิศวะมา อยากจะเปลี่ยนไปทำงานแนว IT เพื่อว่าจะได้มีโอกาสทำงานที่สามารถทำแบบออนไลน์ได้ เผื่อจะได้มีโอกาสแบบทำงานสามเดือนอยู่เยอรมัน อีกสามเดือนอยู่ไทย สลับๆกัน อะไรอย่างงี้ได้ ซึ่งตอนนี้เราก็อยู่ในช่วงหางานอยู่ ตอนนี้ตำแหน่งที่สมัครไปเกือบทั้งหมดเป็นงานเกี่ยวกับ IT ซึ่งก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าจะหาได้มั้ยเพราะว่าเราก็ไม่ได้เรียนมาแบบตรงๆ แล้วความรู้ IT กับประสบการณ์การเขียนโปรแกรมก็ไม่ได้เยอะ ก็ต้องรอดูต่อไป เอาเป็นว่าขอจบโพสต์นี้แค่นี้ก่อน เดี๋ยวโพสต์ต่อไปเราจะมาเล่าประสบการณ์ตั้งแต่เรียนจบและย้ายไปอยู่เมืองเบอร์ลินจนถึงตอนนี้ให้ฟัง

รีวิว Everything Everywhere All at Once (ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส)

วันนี้มาแปลกนิดนึงเพราะว่าจะมาแนะนำหนัง 555 ปกติเราชอบดูหนังอยู่แล้วเวลามีเวลาว่าง แต่สำหรับเรื่องนี้นี่ดูแล้วประทับใจมากจริงๆจนอดไม่ได้ต้องขอโพสต์รีวิวและแนะนำหนังลงบล็อกหน่อย หนังเรื่องนี้ก็คือเรื่อง “Everything Everywhere All at Once” หรือชื่อไทยว่า “ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส” นำแสดงโดยมิเชล โหย่ว ซึ่งเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงในดวงใจของเรา ถ้าใครมีแผนว่าจะหามาดูอยู่แล้ว หรือกำลังลังเลอยู่เลยว่าจะดูดีมั้ย ขอแนะนำว่าให้ปิดโพสต์นี้แล้วไปหาดูซะ ไม่ต้องอ่านต่อหรือไม่ต้องคิดมากเลย เพราะมันดีจริงๆ 555 Trailer ก็ไม่ต้องดูไปก่อน ยิ่งไปดูแบบรู้เรื่องราวน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ถ้ายังอยากหาอ่านรีวิวดูก่อนก็อ่านต่อได้ รีวิวนี้ไม่มีสปอยล์เนื้อเรื่อง

จริงๆหนังเรื่องนี้ถ้าตั้งชื่อไทยเป็นมนุษย์แม่ทะลุมัลติเวิร์สน่าจะสื่อความหมายได้ตรงประเด็นกว่า (ได้ยินมาว่าที่ใช้คำว่า “ซือเจ๊” เพราะว่าจะสื่อถึงมิเชล โหย่ว ที่แสดงเป็นตัวเอกด้วย เหมือนกับเวลาหนังเรื่องไหนมีแจ๊คกี้ ชานเล่น ชื่อไทยจะตั้งแบบมีคำว่า “ฟัด” เสมอ) เพราะถ้าตัดความที่ตัวละครเอกเป็นคนจีนหรือเป็นมิเชล โหย่วออกไป มันก็คือเรื่องของแม่ธรรมดาคนนึงที่กำลังเผชิญวิกฤตชีวิตและวิกฤตครอบครัวนั่นเอง เพราะว่าไหนจะต้องจัดการปัญหาเรื่องภาษีกับสรรพากรเพื่อไม่ให้กิจการร้านซักผ้าของตัวเองโดนยึด สามีที่ทำตัวพึ่งพาไม่ได้ก็กำลังจะมาขอหย่า ลูกสาวก็หัวดื้อแถมทำตัวไม่เอาไหน แถมยังโดนพ่อตัวเองดูถูกว่าชีวิตล้มเหลว เป็นลูกสาวที่ไม่ได้เรื่องไม่น่าภูมิใจอีก และราวกับว่ายังมีเรื่องให้ปวดหัวไม่พอ อยู่ดีๆวันนึงก็มีสามีตัวเองที่มาจากจักรวาลอื่นมาขอร้องให้ไปช่วยสู้กับปีศาจร้ายที่กำลังอาละวาดอยู่ในจักรวาลอื่น เพื่อช่วยลูกสาว และช่วยเหลือทุกจักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายอีก!!! มนุษย์แม่ตัวคนเดียวคนนี้จะทำยังไงเพื่อช่วยกอบกู้วิกฤตชีวิตครอบครัวตัวเองแถมยังต้องช่วยกอบกู้จักรวาลอื่นๆให้รอดพ้นจากการถูกทำลายได้??

หนังอาจจะนานถึงสองชั่วโมง แต่ว่าตัวหนังดำเนินเรื่องเร็วมากๆ และตัดต่อดีมากๆๆๆๆๆๆ ทั้งภาพและดนตรีประกอบเข้ากันดีมาก บันเทิง กระชับ เร้าอารมณ์ แต่ก็ลื่นไหลต่อกันไปตั้งแต่ฉากแรกจนจบเรื่อง ส่วนตัวเราไม่รู้สึกเบื่อหรืออยากละสายตาจากจอเลย แค่ดูในเรื่องของเทคนิกและความคิดสร้างสรรค์ในการตัดต่อหนังอย่างเดียวแบบยังไม่ต้องสนใจเนื้อเรื่องก็ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีมากๆเรื่องนึงได้แล้ว ในส่วนของเนื้อเรื่องก็แปลกใหม่สร้างสรรค์ ไม่เหมือนใคร และเดาทางไม่ได้จริงๆ ตอนต้นเรื่องจะงงๆเพราะทุกอย่างจะประเดประดังเข้ามาและเกิดขึ้นแบบเร็วมากๆจนจะตามไม่ทัน แต่ว่าพอดูไปเรื่อยๆจะเข้าใจได้จากบริบทของหนังเอง ช่วงแรกโทนหนังจะเหมือนเป็นหนังตลกบ้าๆบอๆกับแอ๊คชั่นกังฟู ฉากที่ตลกก็คือตลกจริง ขำกันทั้งโรง ส่วนที่เป็นแอ๊คชั่นก็ยังตลกและทำออกมาดีมากเหมือนดูหนังกังฟูจริงๆเลย จังหวะท่าทางการต่อสู้ มุมกล้อง การกำกับทำดีมาก พอผ่านไปเรื่อยๆจะเริ่มไซไฟ แล้วอยู่ๆก็จะเริ่มมีความดราม่าครอบครัวแทรกเข้ามา จนจุดหนึ่งเนื้อเรื่องของหนังก้าวไปไกลจนถึงระดับอภิปรัชญานู่นเลย เปลือกนอกของหนังอาจจะเป็นหนังไซไฟแอ๊คชั่นกังฟูที่ใส่มุกตลกบ้าๆบอๆหลุดโลกเข้ามาก็จริง แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ตัวหนังพูดถึงปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก สามีกับภรรยา ความรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ อาการซึมเศร้ารู้สึกว่าชีวิตไม่มีค่า รู้สึกว่าชีวิตล้มเหลว ฯลฯ ปัญหาชีวิตใกล้ตัวที่คนธรรมดาๆอย่างเราทุกคนต้องมีอย่างน้อยซักประเด็นที่รู้สึกว่ามันโดนใจ มันกระแทกใจ หรือทำให้นึกถึงชีวิตจริงแน่นอน ซึ่งแก่นแท้เหล่านี้ ตัวหนังเลือกสอดแทรกเข้าไปในความตลกและหลุดโลกของเรื่องราวต่างๆในฉากหน้าของตัวหนังได้อย่างกลมกล่อมและกลมกลืน แทบทุกฉากในหนังมีเหตุผลในตัวมันเองไม่ว่าฉากนั้นจะดูบ้าบอแค่ไหน และถึงแม้ในหนังโดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังจะมีการตัดสลับไปมาระหว่างฉากเยอะมากแค่ไหน แต่ว่าแก่นแท้ในเบื้องหลังของฉากเหล่านั้นจะสอดประสานและดำเนินไปด้วยกันอย่างเป็นเอกภาพจนนำไปสู่บทสรุปที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังของหนัง ตอนท้ายๆของหนัง เราคือขำ น้ำตาไหล ลุ้น ขำ น้ำตาไหล ลุ้น สลับๆไปจนจบเรื่องเลย ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากที่ผู้สร้างสามารถผสมผสานเอาแนวหนังที่หลากหลาย ผสมความตลก ความดราม่า และปรัชญาเข้ามารวมกันในตัวหนังได้อย่างลงตัว และทำให้คนดูทั้งหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆกันได้อย่างอย่างนี้ ซึ่งในส่วนของเนื้อเรื่องและแก่นเรื่องที่กระแทกใจนี่แหละ ที่ยกระดับหนังเรื่องนี้จากหนังที่เทคนิกการถ่ายทำและตัดต่อยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งให้ขึ้นไปเป็นหนังที่ดีที่สุดที่เราเคยดูมาในชีวิตเรื่องหนึ่งไปเลย เอาจริงๆคือนึกไม่ออกเลยว่ามีหนังเรื่องอื่นเรื่องไหนอีกที่องค์ประกอบโดยรวมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเทคนิกการถ่ายทำการตัดต่อ เนื้อเรื่อง บทหนัง ข้อคิดในหนัง การแสดง ความคิดสร้างสรรค์ ความโดดเด่นจากหนังเรื่องอื่นๆ ให้คะแนนทุกด้านรวมกันแล้วดีกว่าหนังเรื่องนี้ คือบางเรื่องเนื้อเรื่องอาจจะดี แต่ตัดต่อธรรมดา บางเรื่องอาจจะสเปเชียลเอฟเฟคต์อลังการแต่ว่าเนื้อเรื่องธรรมดาหรือว่าเนื้อเรื่องไม่มีอะไรแปลกใหม่ อะไรอย่างนี้

สรุปแล้วคือหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สนุกมาก ตัดต่อดี มีหลายแนวหลายอารมณ์ผสมกันและแต่ละอารมณ์ก็ทำได้ถึงทั้งตลกทั้งดราม่า และพอดูจบแล้วผู้ชมต้องได้ข้อคิดดีๆอะไรกลับไปแน่นอน ส่วนตัวแล้วมีสิบเป็นสิบ มีร้อยให้ร้อยเลย ถ้าต้องพยายามนึงถึงข้อเสียจริงๆ สำหรับตัวเราแล้วอาจจะเป็นตรงที่ หนึ่งหนังอาจจะยาวไปนิดแถมยังอัดเนื้อเรื่องเข้ามาไม่ยั้งแบบเกือบจะ non-stop ทำให้อาจจะดูแล้วรู้สึกเหนื่อย สองคือมุกตลกบางมุกอาจจะสัปดนหรืออาจจะเกินรับได้สำหรับบางคน สามคือหนังอาจมีบางจุดที่เนื้อเรื่องไม่สมเหตุสมผล แต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้เมื่อคิดถึงความที่ตัวหนังเป็นหนังไซไฟ แต่สำหรับตัวเราแล้ว องค์ประกอบอื่นที่ดีเยี่ยมของหนังทำให้มองข้ามข้อด้อยเหล่านี้ไปได้อย่างง่ายดาย… อ้อขอเพิ่มนิดนึง พอดีไปอ่านคอมเมนต์คนอื่นๆในเว็บอื่นมา เจอคนที่ดูแล้วไม่ชอบบ้างเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงหลังของหนังมีการตัดสลับฉากไปมาเยอะมาก ซึ่งถ้าตามเนื้อเรื่องไม่ทันหรือไม่เข้าใจแก่นเรื่องอาจจะทำให้งงได้ว่าจะตัดอะไรเยอะแยะ ส่วนตัวของเราดูฉากที่ตัดสลับๆเหล่านี้ด้วยความทึ่งมากกว่า คือทึ่งในเทคนิกการตัดต่อและในความที่ผู้สร้างสามารถตัดฉากเหล่านี้มาต่อๆสลับกันเยอะๆได้โดยที่แก่นแท้เบื้องหลังและอารมณ์ของหนังสอดคล้องลงตัวไปตลอด และแถมยังคลายปมของตัวละครต่างๆในเรื่องได้หมด แถมเมื่อรวมกับดนตรีประกอบแล้วยังบิ้วอารมณ์ได้ดีมากด้วย ซึ่งมันแสดงออกถึงความใส่ใจในรายละเอียดของผู้สร้างจริงๆ และอีกอย่างหนึ่งคือถ้าคนดูไม่เข้าใจหรือไม่อินกับปรัชญาหรือดราม่าความสัมพันธ์ในครอบครัวก็อาจจะไม่อินกับหนังช่วงครึ่งหลังหรือไม่เข้าใจไปเลย ส่วนตัวแล้วเราอินเรื่องประเด็นครอบครัวมาก เพราะว่าหนังตีแผ่ครอบครัวคนเอเชียออกมาได้สมจริงมาก ไม่ว่าจะในแง่ที่ว่าพ่อแม่พยายามกดดันลูกให้เรียนเก่งๆเรียนเยอะๆหรือพยายามจับลูกให้อยู่ในกรอบเพราะอยากให้ลูกได้ดี ในแง่ที่ว่าพ่อแม่ชาวเอเชียจะไม่ชมลูกตรงๆเพราะเดี๋ยวจะเหลิง ทำให้ลูกรู้สึกว่าไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ดีไม่พอสำหรับพ่อแม่ หรือจะในแง่ที่ว่าพ่อแม่ชาวเอเชียจะไม่แสดงความรู้สึกรักหรือเป็นห่วงแบบตรงๆหรือถ้ามีปัญหาอะไรก็จะไม่เปิดอกคุยกันตรงๆทำให้พ่อแม่ลูกจะทะเลาะหรือไม่เข้าใจกัน ซึ่งบางอย่างมันตรงกับชีวิตจริงเราตอนเด็กในระดับหนึ่งเลยอินเป็นพิเศษ 555 ทั้งนี้ทั้งนั้น เราแนะนำให้ดูหนังเรื่องนี้แบบมีซับด้วย จะได้ไม่ตกหล่นเนื้อเรื่อง เพราะว่ารายละเอียดมันเยอะมาก (ถึงจะดูแบบพากย์ไทยก็ยังอาจจะมีส่วนที่ฟังตกหล่นบางส่วนได้) ตอนที่เราดูจบรอบแรก ถึงจะชอบมากก็จริงแต่ก็ยังมีแอบงงกับเข้าไม่ถึงบางจุด แต่พอได้ดูอีกรอบสองรอบแบบมีซับให้อ่านจนเก็บรายละเอียดได้หมด ก็คือนิพพานเลย 555

อยากให้ทุกคนช่วยกันอุดหนุนหนังต้นทุนต่ำที่มีเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่สร้างสรรค์แบบนี้กัน พอหนังดีๆแบบนี้ทำเงินได้เยอะๆ เราจะได้มีหนังดีๆที่เนื้อเรื่องแปลกใหม่หลากหลายดูกัน ไม่ใช่มีแต่หนังทุนสร้างสูงเนื้อเรื่องแนวๆเดิมจากค่ายหนังใหญ่ๆ อีกอย่างคืออยากให้อุดหนุนเพราะนักแสดงนำส่วนใหญ่เป็นคนเอเชียด้วย คนเอเชียจะได้มีบทบาทในวงการหนังระดับโลกอย่างนี้มากขึ้น จะได้มีหนังฮอลลีวูดที่คนเอเชียแสดงนำแบบนี้ออกมาอีกเยอะๆ ในขณะที่ที่ผ่านๆมา หนังซุปเปอร์ฮีโร่ฮอลลีวูดอื่นๆ ถ้าตัวเอกไม่เป็นผู้ชายหล่อล่ำก็เป็นผู้หญิงสวยเซ็กซี่ การที่วันนี้มีหนังฮอลลีวูดเรื่องนี้ที่มีซุปเปอร์ฮีโร่ที่ไม่ได้เป็นแค่ผู้หญิงชาวเอเชีย แต่ยังเป็นคนอพยพที่อายุเยอะแล้ว แถมยังเป็นแม่คนด้วยอีก เป็นอะไรที่ส่วนตัวแล้วเราคิดว่าเจ๋งสุดๆไปเลย

หาทำธีสิสที่บริษัท

ระหว่างที่กำลังฝึกงานอยู่ ตอนเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเรามีสอบวิชานึงที่มหาลัย ซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายในการเรียนป.โทแล้ว ตอนแรกเค้ากำหนดว่าจะจัดสอบที่มหาลัย แต่ไปๆมาๆ โควิดสายพันธุ์โอมิครอนเดบิวต์ และมาแรงมาก ทำตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งทะยานแบบไม่เคยมีมาก่อน ทางมหาลัยเลยเปลี่ยนให้เป็นจัดสอบแบบออนไลน์แทน เป็นโชคดีของเราไป ตอนก่อนสอบเราก็ใช้วันลากับชั่วโมงทำงานที่ทำเกินสะสมมาก่อนหน้านี้หยุดรวมกันเกือบหนึ่งอาทิตย์เพื่ออ่านหนังสือสอบ เป็นการสอบแบบชิวๆเพราะเป็นวิชาที่ง่ายซึ่งเราตั้งใจเก็บวิชาที่ง่ายไว้สอบตอนท้ายสุดอยู่แล้วเพื่อจะได้ไม่เครียด

พอสอบวิชาสุดท้ายของการเรียนเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาคิดถึงสเต็ปต่อไปหลังจากการฝึกงาน ซึ่งก็คือการทำธีสิสจบนั่นเอง ซึ่งเราก็ยังคงอยากทำที่บริษัทเหมือนเดิม เพราะว่าจะได้ได้ค่าจ้าง (ทำธีสิสที่มหาลัยไม่ได้ค่าจ้าง) และอาจจะได้คอนแท็คหรือเส้นสายสำหรับหาลู่ทางเข้าทำงานหลังเรียนจบต่อได้ด้วย ตอนแรกเราก็ถามหัวหน้าว่าพอจะมีโอกาสในการทำธีสิสที่นี่ต่อมั้ย หัวหน้าก็ถามว่าอยากทำแนวไหน ด้วยความที่เรารู้สึกสนุกกับการทำงานที่เกี่ยวกับ Data ที่ทำตอนฝึกงาน แต่อยากจะทำอะไรที่ไปทางวิศวะหรือเขียนโปรแกรมมากกว่านี้เลยบอกไปว่าอยากทำแนว Machine Learning (จริงๆก็อยากอยู่แผนกเดิมต่อ แต่งานในแผนกนี้จะออกไปทางบริหารจัดการการผลิต หรือควบคุมคุณภาพ อะไรอย่างนี้มากกว่า) หัวหน้าก็ให้คอนแท็คของพนักงานในบริษัทสาขาเดียวกับเราที่ทำแผนกเกี่ยวกับ Machine Learning มาสองคนให้เราส่งเมลล์ไปถาม แต่เค้าตอบมาว่าตอนนี้มีนักศึกษาที่กำลังทำธีสิสอยู่ในแผนกนั้นอยู่สามคน ซึ่งครบลิมิตจำนวนคนที่เค้ารับได้แล้ว เลยอดไป สุดท้ายเราเลยกลับมาที่วิธีดั้งเดิม คือนั่งเปิดเว็บบริษัทต่างๆหาตำแหน่งที่เปิดรับสมัครอยู่แล้วส่งใบสมัครไปเองเลย 555 ก็คือเหมือนตอนที่หาสมัครที่ฝึกงานนี่เลย แต่คราวนี้ต่างออกไปคือ เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความมั่นใจมากขึ้น เพราะมีประสบการณ์การทำงานมากขึ้นแล้ว แล้วก็ได้เห็นว่างานที่เราทำมีประโยชน์กับพนักงานคนอื่นๆและตัวบริษัทด้วย ตอนเขียนจดหมาย Motivation เลยเขียนด้วยความมั่นใจมากขึ้น และมีประสบการณ์ให้เขียนมากขึ้น ความรู้สึกกดดันว่าต้องเขียนให้ดูเวอร์วังหรือหาคำมาอวยบริษัทที่สมัครเยอะๆน้อยลง 555 แต่เอาจริงๆนะ นี่สงสัยมากๆว่าคนที่รับสมัครพนักงานใหม่เนี่ยเค้าอ่าน Motivation Letter กันจริงๆรึเปล่า หรือมีกี่เปอร์เซ็นต์ที่อ่านอย่างจริงจังกันบ้าง ตอนครั้งล่าสุดที่เราสมัครธีสิสนี้ มีบริษัทนึงตอบกลับมาเชิญไปสัมภาษณ์ เป็นบริษัทรถยนต์เยอรมันชื่อดังที่ขอไม่บอกชื่อละกัน 555 ตำแหน่งที่เค้าหาจริงๆแล้วเป็นตำแหน่ง Working Student คือหานักเรียนไปทำงานแบบพาร์ทไทม์ แต่ว่าในคำบรรยายเค้าเขียนว่าสามารถทำธีสิสได้ด้วย ด้วยความที่คำบรรยายงานที่ต้องทำใกล้เคียงกับงานที่เราทำตอนฝึกงาน เราเลยสมัครไป แล้วก็เขียนไปใน Motivation Letter ว่าเข้าใจว่าประกาศนี้สำหรับตำแหน่ง Working Student แต่สนใจสมัครทำธีสิสเพราะว่าตัวงานใกล้เคียงกับที่เคยทำมาก ซึ่งพอถึงตอนสัมภาษณ์จริงๆก็ไปแจ๊คพ็อตว่าเค้าหาแค่ Working Student จริงๆที่ตั้งใจทำพาร์ทไทม์กับเค้าไปนานๆหลายเดือน แล้วหลังจากผ่านไปหลายเดือนแล้วถึงค่อยอาจจะมีโอกาสทำธีสิสได้ เลยเงิบไป สรุปว่าการสัมภาษณ์นั้นก็จบลงอย่างรวดเร็วด้วยความค้างคาใจว่าคนที่รับสมัครเรานั้นได้อ่าน Motivation Letter หรือแม้แต่ CV ของเราจริงจังบ้างรึเปล่า… เอ๊ะหรือเค้าอาจจะใช้โปรแกรมคัด CV ล้วนๆเลยรึเปล่า แบบว่าถ้ามี Keyword นี้ๆๆให้ผ่านเข้ารอบ ถ้าไม่มีปัดตก แบบคนรับสมัครไม่ต้องอ่านอะไรเลย อาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ 555

แต่โชคดีว่าก่อนหน้าที่จะไปสัมภาษณ์ที่บริษัทนี้นั้น เราไปสัมภาษณ์อีกที่นึงมาก่อนแล้ว และที่นั่นก็รับเราแล้วด้วย ซึ่งบริษัทที่รับเราทำธีสิสนั้นก็คือบริษัท… Bosch เหมือนเดิมนั่นเอง 5555 แต่เป็นคนละสาขา คนละเมือง เลยไม่รู้สึกเฟลตอนโดนบริษัทรถยนต์แห่งนี้ปฏิเสธ จากประสบการณ์ที่สมัครงานมาทั้งหมดนั้น เราประทับใจกับบริษัท Bosch ที่สุดเลย เพราะว่าตอบรับหรือตอบปฏิเสธเร็วมาก คือเหมือนว่าหัวหน้าแผนกจะเป็นคนจัดการหาพนักงานใหม่ที่ตัวเองต้องการเองเลย ไม่ใช่แบบให้แผนก HR เป็นคนจัดการหาคนสำหรับตำแหน่งทุกตำแหน่งอะไรอย่างนี้ เลยจะเร็วมาก แบบวันนี้เรากดส่งใบสมัคร วันต่อมาหัวหน้าแผนกตรวจเอกสาร (เราจะได้อีเมลล์มาบอกถ้ามีคนตรวจเอกสารของเราแล้ว) อีกไม่กี่วันต่อมาเราจะถูกเชิญไปสัมภาษณ์หรือไม่ก็โดนตอบปฏิเสธมาเลย ไม่ต้องรอเป็นอาทิตย์หรือบางทีก็เป็นเดือนถึงรู้ผลเหมือนบางบริษัท (แต่ว่าเท่าที่สมัครไป เค้าก็จะตอบกลับมาแทบทุกที่เลยนะ ถึงจะตอบปฏิเสธก็เถอะ มีแค่สองสามที่เท่านั้นที่จนถึงทุกวันนี้ยังไม่ได้อีเมลล์อะไรกลับมาเลย มีอยู่บริษัทนึงที่เราสมัครไปหลายตำแหน่งที่ตอนสมัครทีไรก็จะได้อีเมลล์ปฏิเสธหลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ทุกครั้ง คือคงตั้งโปรแกรมอัตโนมัติเอาไว้ว่าถ้าครบหนึ่งสัปดาห์แล้วไม่มีการเชิญไปสัมภาษณ์ก็จะส่งอีเมลล์อัตโนมัติไปตอบปฏิเสธเลย)

จริงๆแล้วก่อนจบการฝึกงานหรือตอนจะลาออกจากงาน หัวหน้าของเราจะทำใบประกาศมาให้ ซึ่งจะมีบอกว่าในการฝึกงานหรือทำงานนี้เราทำอะไรบ้าง แล้วก็จะมีประเมินการทำงานของเราในด้านต่างๆด้วย ใบนี้ภาษาเยอรมันจะเรียกว่า Praktikumszeugnis สำหรับการฝึกงาน หรือ Arbeitszeugnis สำหรับการทำงานปกติ ซึ่งในบางกรณีตามกฏหมายแล้วหัวหน้าจะต้องออกใบนี้ แต่ในบางกรณีหัวหน้าก็ไม่จำเป็นต้องออกให้แต่ว่าเราสามารถขอหัวหน้าให้ออกให้ได้ถ้าต้องการ ด้วยความที่เราอยากใช้ใบประกาศนี้สมัครธีสิส เราเลยไปขอหัวหน้าเราตั้งแต่เดือนกว่าๆก่อนวันจบฝึกงานจริงๆ แต่เค้าก็ออกใบนี้มาให้ ซึ่งใบที่ออกมาให้ล่วงหน้าก่อนใบจริงที่จะออกให้ตอนสิ้นสุดการทำงานนั้นเค้าจะเรียกว่า Zwischenzeugnis ซึ่งเนื้อหาก็จะเหมือนกัน แค่อาจจะไม่เป็นทางการเท่า หรือไม่มีลายเซ็นของแผนก HR อะไรอย่างนี้ แต่ในกรณีของเรา สรุปว่าตอนสุดท้าย ใบ Praktikumszeugnis ของเราก็เนื้อหาเหมือนในใบ Zwischenzeugnis เลย ไม่ได้มีการบรรยายอะไรลงไปเพิ่มเติม เพราะว่าหลังออกใบ Zwischenzeugnis มา อีกแค่เดือนนิดๆเราก็ฝึกงานจบแล้ว ซึ่งหลักใหญ่ใจความของตัวงานก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือมีอะไรสำคัญให้ต้องเพิ่มเติมลงไปแล้ว

ตอนที่เราสมัครฝึกงานเมื่อปีที่แล้วเราส่งใบสมัครไปสามสิบกว่าใบ โดนเรียกไปสัมภาษณ์แค่ห้าหกที่ รวมแล้วกินเวลาเป็นเดือนๆกว่าจะหาที่ฝึกงานได้ ตอนที่สมัครธีสิสนี้เราส่งไปห้าใบ ใบแรกที่ส่งไปที่ Bosch ส่งไปวันศุกร์ วันจันทร์ส่งไปที่บริษัทอื่นอีกสี่ใบ วันอังคารได้อีเมลล์จาก Bosch เชิญไปสัมภาษณ์วันพุธ (ส่งมาแบบ intern มาที่อีเมลล์ทำงานของเราเลย) แล้ววันศุกร์เค้าก็โทรมาบอกว่าตกลงรับเราเลย (โทรแบบ intern มาที่เบอร์ที่ทำงานของเราเลยเหมือนกัน) ตกใจเบาๆ ไม่คิดว่าจะหาได้เร็วขนาดนี้เลย แบบแค่อาทิตย์เดียว ตอนแรกนึกว่าอาจจะต้องไปหาห้องเช่าถูกๆในเมืองไหนซักเมืองเช่ารอซักเดือนตอนช่วงหาที่ทำธีสิสซะอีก 555 ความที่เราฝึกงานที่ Bosch อยู่แล้วคงมีส่วนช่วยให้เค้าตัดสินใจรับเราไม่มากก็น้อยแหละ แต่ตอนวันศุกร์หลังจากเราวางสายจากที่ Bosch โทรมาตอบรับเราไปได้แค่ไม่กี่นาที เราก็ได้อีเมลล์จากบริษัทรถยนต์เยอรมันเชิญไปสัมภาษณ์อาทิตย์หน้าอีก ตกใจซ้ำสองที่โดนเชิญไปสัมภาษณ์จากสองที่แรกที่สมัครไปเลย ตอนแรกคิดว่าจะปฏิเสธดีมั้ยแต่เพื่อนบอกให้ไปสัมภาษณ์ดูก่อนแล้วค่อยคิดอีกที เลยตัดสินใจไป แล้วก็เจอเหตุการณ์อย่างที่เล่าไปเมื่อย่อหน้าก่อนหน้านู้นนั่นแหละ แต่หลังจากนี้ก็ได้อีเมลล์ปฏิเสธมาจากอีกหนึ่งที่ที่สมัครไป ส่วนอีกสองที่ที่เหลือจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้อีเมลล์อะไรตอบกลับมาเลย คิดไปคิดมา ที่เค้ารับเราตั้งแต่ที่แรกที่เราสมัครไปเลยนี่ คงมีดวงช่วยอีกไม่มากก็น้อยด้วยแน่นอน

แต่หลังจากที่เราโดนตอบตกลงให้ไปทำธีสิสเรียบร้อยแล้ว ความท้าทายก็ยังไม่หมด เพราะว่าเรายังต้องหา Supervisor จากมหาลัยด้วย คือนักศึกษาที่ทำธีสิสกับบริษัทจะมีที่ปรึกษาที่บริษัทหนึ่งคน และต้องมีที่ปรึกษาที่มหาลัยอีกหนึ่งคนด้วยถึงจะทำได้ แต่คนที่เป็นที่ปรึกษาที่มหาลัยก็ควรจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับหัวข้อที่เราทำธีสิสที่บริษัทประมาณหนึ่งด้วยจะได้ช่วยให้คำปรึกษาเราได้ ซึ่งการหาที่ปรึกษาที่มหาลัย หลักๆที่เราทำเลย (ที่เพื่อนคนเยอรมันแนะนำมาอีกที) ก็คือเข้าไปอ่านรายละเอียดในเว็บไซต์ของ Institute ต่างๆของมหาลัยตรงส่วนที่เกี่ยวกับหัวข้อวิจัยว่า Institute นี้แบ่งเป็นแผนกอะไรบ้าง และแผนกไหนเน้นทำวิจัยเกี่ยวกับหัวข้อไหน (อีกอย่างที่สำคัญคือต้องเป็น Institute ที่สามารถเป็นที่ปรึกษาให้ธีสิสของนักศึกษาจากคณะของเราได้ด้วย ซึ่งรายละเอียดตรงนี้จะแตกต่างกันไปตามคณะกับตามมหาลัย ต้องไปหาอ่านๆหรือถามๆดูเองอีกที) ถ้าเจอแผนกที่ทำหัวข้อวิจัยใกล้เคียงกับที่เราทำก็ให้ส่งอีเมลล์ไปบอกหัวหน้าแผนกว่าเราได้ทำธีสิสหัวข้อนี้ๆที่บริษัทนี้ๆ จะขอ Internal Supervisor จากแผนกของคุณได้มั้ย อะไรประมาณนี้ ถ้าให้ดีก็ควรพิมพ์บอกรายละเอียดคร่าวๆไปด้วยว่าเราจะทำอะไรในธีสิสของเราบ้าง และส่งใบเกรดของเรากับ CV ของเราไปด้วย ของเราโชคดีตรงที่ที่ปรึกษาที่บริษัทส่งใบรายละเอียดสิ่งที่ต้องทำในธีสิสมาให้เราสำหรับเอาไว้หา Internal Supervisor โดยเฉพาะ เราเลยใช้ใบนี้ส่งไปพร้อมกับอีเมลล์ส่งไปหาหัวหน้าแผนกได้เลย ตอนแรกเราส่งอีเมลล์ไปที่แผนกๆนึง แต่รอสองสามวันแล้วยังไม่มีใครติดต่อกลับ เลยต้องโทรไปถาม โทรไปเสร็จเค้าก็บอกว่าจะดูให้ ให้รอก่อนอีก ตอนนั้นกระวนกระวายมาก เพราะว่าในสัญญาการทำธีสิสที่บริษัท เราต้องเขียนชื่อที่ปรึกษาลงไปด้วย ไม่งั้นเค้าจะออกสัญญาให้ไม่ได้ ระหว่างนั้นก็มีคนจากแผนกนั้นอีเมลล์มาว่าให้ลองติดต่อไปที่ที่ปรึกษาคนนี้ ตอนนั้นเราก็มีความหวังเบาๆ แต่ปรากฏว่าลองไปเช็คข้อมูลอีกที… ปรากฏว่า Institute ที่เราติดต่อไปนั้นเป็นที่ปรึกษาให้ธีสิสของนักศึกษาจากคณะของเราไม่ได้!!! เลยต้องส่งเมลล์เพิ่มไป Institute อื่นที่ชัวร์ว่าเป็นที่ปรึกษาให้เราได้อีกสองสามแห่ง แล้วก็ต้องรอต่อไปอีก ด้วยความที่ยังทำสัญญาไม่ได้ และกระบวนการทำสัญญาก็ยังกินเวลาประมาณเดือนนึงอีก ทำให้จากตอนแรกที่เราสามารถเริ่มสัญญาตอนต้นเดือนพฤษภาคมได้ โดนเลื่อนไปเป็นเริ่มสัญญาได้เร็วสุดตอนกลางเดือนพฤษภาคม ตอนนั้นกระวนกระวายมาก นอนหลับไม่สนิทเลย กลัวว่าที่ปรึกษาทีบริษัทจะเปลี่ยนใจกะทันหันมั้ย 555 แล้วถ้ายังทำสัญญาไม่ได้ก็ยังเริ่มหาบ้านไม่ได้อีก แต่ไปๆมาๆ ในที่สุดก็มีที่ปรึกษาคนนึงส่งเมลล์มาบอกเราว่าเค้ายินดีเป็นที่ปรึกษาให้เรา เสร็จแล้วเราก็เริ่มหาบ้านจากเว็บ wg-gesucht ซึ่งก็มีห้องว่างให้เช่าลงประกาศอยู่สองสามห้อง ซึ่งเราก็ติดต่อไปจนได้โทร Video Call ดูห้องกับเจ้าของห้องเช่า แล้วก็ตกลงเซ็นสัญญากันผ่านอีเมลล์เรียบร้อย ได้ห้องมาอย่างรวดเร็วมาก ต่างจากตอนที่หาบ้านแถวๆเมืองที่ฝึกงานที่เข้าเว็บ wg-gesucht แล้วไม่มีห้องว่างลงประกาศไว้เลย ต้องไปไล่หาห้องเช่าเอาจากเว็บอื่น ผ่านไปนานกว่าจะหาได้

สรุปว่าตอนนี้เราก็ได้ที่ทำธีสิสแล้ว ซึ่งเป็นหัวข้อที่ตรงกับความสนใจระดับหนึ่งเลย (ไม่ได้ตรงแบบเป๊ะ แต่ว่าอย่างน้อยก็ได้ทำที่บริษัทที่มีค่าจ้างให้ เลยรับๆไว้ก่อนดีกว่า และอีกอย่างคืออยากรีบๆรับรีบทำให้เสร็จ จะได้รีบๆเรียนจบด้วย) แล้วก็หาบ้านได้แล้วด้วย ตามสัญญาการทำงานเราจะเริ่มงานอย่างเป็นทางการได้ตอนวันที่ 15 พฤษภาคม แต่ว่าเราบอกที่ปรึกษาไปว่าฝึกงานเสร็จตั้งแต่กลางเดือนเมษาแล้วและอยากเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนั้นเลย เค้าเลยส่งเปเปอร์และหนังสือต่างๆมาให้อ่านเตรียมตัวแล้ว ซึ่งมีเยอะมาก เห็นแล้วจะเป็นลม 5555 แล้วเมื่อวานเราก็เพิ่ง Video Call กับที่ปรึกษาทั้งสองคนแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งสิ่งที่ที่ปรึกษาจากมหาลัยบอกเราคือเค้าอ่านรายละเอียดสิ่งที่เราต้องทำในธีสิสนี้แล้วเค้ารู้สึกว่า… ทำไม่น่าจะทัน!! =..=” ซึ่งเค้าก็คุยๆเรื่องนี้กับที่ปรึกษาที่บริษัทระหว่าง Video Call ด้วย แล้วก็แบบคุยกันอย่างนักวิชาการความรู้แน่น แลกเปลี่ยนว่าควรทำแบบนี้ๆใช้เทคนิกนี้ๆๆดีมั้ย ด้วยภาษาเยอรมัน ซึ่งนักเรียนต่างด้าวเอเชียที่เน้นท่องจำก่อนสอบแล้วก็ลืม นั่งฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งและพยายามจดบันทึกตามเท่าที่ฟังทัน ตอนนี้คือแอบนึกเบาๆว่าคิดถูกแล้วใช้มั้ยที่คิดมาทำธีสิสที่บริษัท ที่นอกจากไม่รู้ว่าจะหนักหรือยากกว่าการทำธีสิสที่มหาลัยมั้ย แล้วยังต้องคอยติดต่อประสานงานกับที่ปรึกษาทั้งสองคนอีก ซึ่งไม่รู้ความเห็นจะตรงกันหรือขัดแย้งกันแค่ไหนด้วย และยังหลอนว่าจะทำทันมั้ยด้วย ประเด็นคือตอนนี้ยังนึกภาพไม่ค่อยออกเลยว่ามันจะเป็นยังไงตอนทำจริงๆ แต่ตอนที่เราลงทะเบียนทำธีสิสเราต้องเขียนรายละเอียดคร่าวๆว่าจะทำอะไรในธีสิสนี้บ้าง ซึ่งตอนส่งธีสิสเราต้องทำให้เสร็จตามนั้นจริงๆด้วย แต่ก็แบบมาถึงจุดนี้แล้วยังไงก็ต้องไปต่อแหละ เอาล่ะอีกหกเดือน ลองพยายามดู จะเป็นยังไง เดี๋ยวไว้กลับมาเล่าใหม่ในตอนหน้าตอนที่มีเวลาว่างเขียนอีกครั้งโนะ

ฝึกงานจบแล้ว!

เมื่อวานเป็นวันสุดท้ายของการฝึกงานที่บริษัท Bosch ในเมือง Immenstadt im Allgäu ประเทศเยอรมนีของเรา วันนี้ตอนแรกว่าจะมารีแคปเหตุการณ์ย้อนหลังตั้งแต่ตอนร่อนใบสมัครมาจนถึงตอนที่ยื่นบัตรพนักงานคืนให้หัวหน้าแต่พอกลับไปอ่านโพสต์ที่แล้วในบล็อกมาก็รู้สึกว่าก็เล่าไปเยอะแล้วนี่ แถมหลายเรื่องที่เล่าไปก็เกือบลืมไปแล้วด้วย 555 ก็เลยเปลี่ยนใจเป็นมาเล่าเพิ่มเติมในส่วนที่นึกขึ้นได้ กับส่วนที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นละกัน

วิวจากลานจอดรถบริษัทตอนฤดูหนาว

ในโพสต์ที่แล้วเราทิ้งท้ายไว้ว่าเราเอ็นจอยกับการทำงานและ Work-Life-Balance มาก สรุปว่าจนถึงวันสุดท้ายของการฝึกงานก็ยังเอ็นจอยอยู่ เป็นช่วงชีวิตที่เครียดน้อยที่สุดตั้งแต่ที่มาอยู่เยอรมันแล้ว ในโพสต์ที่แล้วเราเขียนไว้ด้วยว่างานที่ต้องทำไม่ค่อยเกี่ยวกับที่เราเรียนมาเท่าไหร่ ตอนที่เริ่มงานแรกๆจริงๆแอบนึกเบาๆว่าอยากทำงานที่เกี่ยวกับที่เรียนมากกว่านี้ แต่สรุปไปๆมาๆ กลายเป็นว่าชอบงานที่ทำมากๆ แล้วงานของเราเกี่ยวกับการรวบรวม Data ต่างๆจากสายการผลิตมาทำ Interactive Report ซึ่งเป็นอะไรที่ใหม่ในบริษัทและในแผนกที่เราทำอยู่ด้วย คือก่อนหน้านี้วิศวกรที่วางแผนหรือตรวจคุณภาพของการผลิตก็จะเข้าโปรแกรมดูข้อมูลเพื่อเช็คข้อมูลเป็นจุดๆไป แต่ที่เราทำคือเอาข้อมูลทุกอย่างมารวมกันแล้วทำ Report ให้คนเห็นภาพรวมเลย ด้วยความที่เป็นอะไรที่ใหม่ คนที่เชี่ยวชาญโปรแกรมที่เราใช้ในบริษัทในสาขาที่เราฝึกงานเลยยังมีไม่มาก ทำไปทำมากลายเป็นว่าช่วงหลังๆเวลามีเด็กฝึกงานหรือพนักงานใหม่มา หัวหน้าจะแนะนำมาให้เราเป็นคนช่วยสอนใช้โปรแกรมนี้หรือช่วยอธิบายเวลามีคำถามไปเลย

สิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบในการทำงานบริษัทคือเวลาจะคุยเรื่องอะไรกับใครต้องนัดคิว แล้วบางคนคิวเต็มยันอาทิตย์หน้า ทำให้บางทีเวลาทำงานบางอย่างแล้วอยากถามความเห็น หรือมีคำถามต่างๆ ต้องรออยู่นานกว่าจะได้คุยจริงจัง ทำให้งานที่ควรจะทำแป๊บเดียวเสร็จ กินเวลายาวไปเป็นอาทิตย์ๆกว่าจะเสร็จ เพิ่งจะรู้ตอนนี้นี่แหละว่าในชีวิตการทำงานจริงๆ กว่าจะนัดประชุมอะไรได้ต้องรอนานขนาดนี้ ไม่รู้ที่อื่นเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมดรึเปล่า

วิวจากลานจอดรถบริษัทตอนฤดูร้อน

มาต่อเรื่องสังคมการทำงานดีกว่า ในแผนกของเราจะมีพนักงานประมาณเกือบยี่สิบคน ซึ่งแต่ละคนมีหน้าที่หรือตำแหน่งอะไรบ้างเอาจริงๆเราก็ไม่รู้ 5555 แต่หลักๆเลยคือจะมีฝ่ายที่วางแผนการผลิตในโรงงาน กับฝ่ายที่ควบคุมคุณภาพ ในหนึ่งอาทิตย์จะมีประชุมแบบ Group Call สำหรับทุกคนในแผนกหนึ่งครั้งเพื่อแจ้งข่าวต่างๆ แล้วก็จะมีประชุมแบบ Group Call สองครั้งเพื่อให้พนักงานแต่ละคนเล่าคร่าวๆว่ากำลังทำอะไรอยู่ มีความคืบหน้าหรือปัญหาอะไรบ้าง ต้องการการสนับสนุนอะไรมั้ย บางทีเวลามีพนักงานใหม่มาเค้าก็จะนัดประชุมแบบ Video Call เพื่อให้ทุกคนแนะนำตัวเองแบบสั้นๆด้วย แล้วเวลามีพนักงานคนไหนลาออกเค้าก็จะมีนัดมายืนล้อมกันเพื่อให้หัวหน้าแผนกกล่าวขอบคุณและอวยพรอีก สำหรับกลุ่มย่อยในแผนกที่เป็นกลุ่มของหัวหน้าของเราที่มีพนักงานประมาณสิบคนนั้นก็จะมีนัดกินข้าวที่ร้านแถวบริษัทกันเดือนละครั้งด้วย นอกจากนี้ บางวันก็จะมีการสั่งอาหารมากินด้วยกันที่แผนก หรือไม่ก็จะมีพนักงานในแผนกทำขนมมาให้กินที่แผนก (แต่ว่าให้นั่งกินที่โต๊ะทำงานใครทำงานมัน หรือไม่ก็ให้ยืนกินห่างกันอย่างน้อยหนึ่งเมตรครึ่งเพื่อป้องกันโควิด 555) แล้วตอนก่อนวันหยุดคริสต์มาสที่ผ่านมาก็มีพนักงานสามสี่คนใส่หมวกซานต้า เปิดเพลงคริสต์มาสเดินไปทั่วบริษัทแล้วเอาแยมผลไม้ homemade แจกให้พนักงานทุกคนด้วย

นอกจากประชุมแบบกลุ่มแล้ว เรากับเด็กฝึกงานอีกคนยังมีประชุมแยกกับหัวหน้าสองต่อสองอาทิตย์ละครั้งด้วย จะเป็นประชุมแบบนั่งคุยกันตัวต่อตัว (แบบใส่แมสก์) ซึ่งเราก็จะเล่าแบบละเอียดว่าทำอะไรไปบ้าง มีปัญหาหรือข้อสังเกตอะไรบ้าง มีคำถามอะไรบ้าง ซึ่งหัวหน้าก็เก่งมาก Data ตรงส่วนใหญ่น่าสงสัย เค้านั่งนึกๆแล้วตอบได้เกือบหมดเลย เช่นว่าวันนี้ไลน์ผลิตนี้ไม่ทำงานเลยไม่มีข้อมูล ต้องเลือกใช้ค่าจากสถานีนี้ถึงได้ค่าที่ต้องการ เซนเซอร์ของเครื่องจักรนี้เสียค่าที่วัดออกมาเลยแปลกๆ โปรดักต์ชนิดนี้ใช้วัตถุดิบจากไลน์ผลิตนี้ ทำให้ข้อมูลไม่เหมือนโปรดักต์ชนิดอื่น ฯลฯ แล้วหัวหน้าก็ใจดีและเป็นกันเองมากด้วย ถามอะไรก็ตอบอธิบายแบบจริงจังหมดเลยถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับงานที่ต้องทำโดยตรงก็ตาม อารมณ์เหมือนเป็นเพื่อนมากกว่า เหมือนเป็นเพื่อนที่รู้เยอะประมาณนี้ รู้สึกว่าแค่หัวหน้าดี ชีวิตการทำงานก็ดีไป 50% แล้ว

ในระหว่างที่เราฝึกงานอยู่นั้นเราไม่ค่อยได้คุยกับพนักงานคนอื่นเท่าไหร่ จะมีแค่คนนึงที่คุยบ่อยเพราะเวลาเค้าไปกินข้าวที่โรงอาหารเค้าจะชวนคนอื่นไปด้วยกันตลอด (พนักงานส่วนใหญ่จะแยกไปเอง หรือไม่ก็ทำอาหารจากที่บ้านมากินที่ทำงาน) เลยจะได้คุยกันนิดๆหน่อยๆระหว่างที่ไปโรงอาหารบ่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ก็คุยแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ หรือเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาทำอะไรมา หรือเสาร์อาทิตย์หน้าจะทำอะไรดี อะไรอย่างเงี้ย 555555 อยากคุยอะไรเยอะๆกว่านี้เหมือนกัน แต่ตอนอยู่ที่ที่ทำงานต่างคนก็จะทำงาน ไม่ได้มีเวลาคุยอะไรขนาดนั้น แล้วอีกอย่างด้วยความที่วัยห่างกันเยอะเลยแอบไม่รู้จะคุยอะไร เคยลองแอบๆฟังว่าพนักงานคนอื่นเวลาคุยกันเค้าคุยอะไรกันแต่ก็ฟังไม่ค่อยออกเพราะแต่ละคนสำเนียงท้องถิ่นแรงมาก 555 แต่ตรงโต๊ะทำงานฝั่งตรงข้ามกับเราจะมีเด็กฝึกงานอีกคน ซึ่งเป็นคนอินเดียที่มาเรียนมหาลัยที่เยอรมันและกำลังจะจบป.ตรี คนนี้จะคุยบ่อยเพราะด้วยความที่เป็นเด็กต่างชาติเหมือนกันเลยจูนกันง่ายกว่า แล้วเค้าก็นิสัยดีมากด้วย เป็นมิตร เดินผ่านใครก็สวัสดีหมด เพื่อนร่วมงานดี ชีวิตทำงานก็ดีไปอีก 30% 555 ระหว่างที่ฝึกงานเราไม่ได้ทำงานร่วมกันคนอื่นมาก ส่วนใหญ่จะเป็นหัวหน้าที่เอางานมาให้ทำ แต่มีสองสามครั้งที่มีพนักงานคนอื่นเอางานมาให้ช่วยทำเหมือนกัน ซึ่งเราก็ต้องนัดประชุมงานแบบโทรคุย บางทีคิวเต็มก็ต้องรอประชุมข้ามอาทิตย์กว่างานจะเดินได้ทีละขึ้น เหมือนที่เล่าไปในย่อหน้าก่อนโน้น 55

วิวระหว่างทางจากบ้านไปบริษัท

วันสุดท้ายของการฝึกงาน เราก็ไปฝึกงานตามปกติ วันนั้นถึงจะเป็นวันสุดท้าย แต่คิวเราเต็มเกือบทั้งวัน เพราะมีประชุมแผนกเพื่อแจ้งข่าวที่เค้าให้เราพรีเซนต์ Reports ทั้งหมดที่เราทำมาด้วย แล้วยังต้องประชุมกับพนักงานในแผนกอื่นอีกสองคนเพื่อช่วยสอนใช้โปรแกรมที่เราใช้ทำงานด้วย ไหนจะต้องเช็คงานของเราให้ชัวร์ว่าเก็บรายละเอียดที่จำเป็นครบแล้วจริงๆอีก วันนั้นตอนประชุมแผนก หัวหน้าแผนกทำเซอร์ไพรส์โดยการเรียกพนักงานทุกคนมายืนรวมกัน (แบบห่างกันอย่างน้อยหนึ่งเมตรครึ่ง 55) แล้วก็กล่าวขอบคุณเราที่ได้ร่วมทำงานมาด้วยกัน แล้วก็อวยพร กับให้ของขวัญเป็นแก้วน้ำลายบริษัทกับเสื้อลายบริษัทมาให้ด้วย รู้สึกเซอร์ไพรส์และตื้นตันมาก ไม่คิดว่าเค้าจะทำอย่างนี้ให้เราเพราะเราก็เป็นแค่เด็กฝึกงาน เสร็จแล้วเราก็กล่าวขอบคุณกลับนิดหน่อย แล้วเย็นวันนั้นตอนก่อนกลับบ้านเราก็เอาโน้ตบุ๊คไปคืนที่แผนก IT แล้วก็เอาบัตรพนักงานไปคืนให้หัวหน้าแผนก ตอนนั้นหัวหน้าแผนกก็พูดขอบคุณเราอีกรอบ แล้วก็เอาของขวัญให้อีกเซ็ต เซอร์ไพรส์และตื้นตันอีกรอบ 55 แล้วก็หมดเวลาหกเดือนของเราที่บริษัท Bosch ที่เมือง Immenstadt แห่งนี้ เดินออกจากประตูรั้วบริษัทด้วยความใจหายเบาๆ อยากอยู่ต่อนานๆไม่อยากให้จบเลย เพราะอย่างที่บอกว่าเราเอ็นจอยกับชีวิตฝึกงาน และตัวงานของเรานี้มาก อยากอยู่ต่อเพื่อทำ Reports อีกหลายๆอันเพื่อให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนร่วมงานและกับบริษัท อยากอยู่ต่อเพื่อช่วยแก้ปัญหาเวลามีปัญหาอะไรที่เกี่ยวกับ Reports อยากอยู่ต่อเพื่อช่วยสอนใช้โปรแกรมให้กับเด็กฝึกงานหรือพนักงานคนอื่น บางคนคือเพิ่งมาแค่ไม่กี่อาทิตย์ แล้วเรามีโอกาสสอนแค่ไม่กี่ครั้งเอง หวังว่าจะมีคนอื่นสอนให้เค้าหรือเค้าจะเรียนรู้เองได้อย่างไม่ยากเย็น อยากอยู่ต่อเพื่อจะได้รู้จักเพื่อนร่วมงานคนอื่นมากขึ้น และอยากอยู่ต่อเพราะว่าจะได้ใช้เวลาในเมือง Immenstadt ที่อยู่ติดกับเทือกเขาแอลป์ที่สวยงามนี้ไปอีกนานๆด้วย และอีกอย่างคืออยากอยู่ต่อเพราะว่าพอฝึกงานเสร็จแล้วก็หมายความว่าถึงเวลาต้องทำธีสิสจบแล้วด้วย และไม่อยากทำธีสิส 55555 แต่ก็นะ เมื่อวันถึงเวลามันก็ต้องทำ เอาวะ อีกแค่เฮือกสุดท้ายก็จะเรียนจบซักทีแล้ว เอาเป็นว่าก็จบเรื่องราวของการฝึกงานในตอนนี้แล้ว เดี๋ยวตอนต่อไปเราจะก้าวข้ามไปสู่เรื่องราวของการทำธีสิสป.โทกันแล้วโนะ

ชีวิตช่วงฝึกงาน

วันที่ 1 ตุลาคม เราขนกระเป๋าเดินทางสองใบและกระเป๋าสะพายหลังหนึ่งใบขึ้นรถไฟจากเมือง Karlsruhe เดินทางมายังเมือง Immenstadt im Allgäu ที่เป็นเมืองที่เราจะมาฝึกงานที่บริษัท Bosch เป็นระยะเวลาหกเดือนเต็ม เจ้าของห้องเช่าห้องใหม่ของเรามารอรับที่สถานีรถไฟ Immenstadt พอเรามาถึงก็ขนของขึ้นรถนั่งไปบ้านใหม่ด้วยกันเลย บ้านใหม่ที่เรามาเช่าอยู่เป็นระยะเวลาหกเดือนนี้เป็นห้องชุดใต้หลังคาที่อยู่ที่ชั้นบนสุดของบ้านหลังเดียวกันกับที่เจ้าของห้องกับครอบครัวก็อาศัยอยู่ ในห้องชุดมีห้องนอน ห้องน้ำ แล้วก็อีกห้องที่เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ครัว และห้องกินข้าว นอกจากนี้ยังมีเฟอร์นิเจอร์มาให้แล้วด้วย ห้องนี้เป็นห้องเช่าแรกตั้งแต่เรามาอยู่ที่เยอรมนีเมื่อเจ็ดปีที่แล้วเลยที่เราเช่าอยู่คนเดียวทั้งหมด ไม่ได้แชร์ห้องน้ำห้องครัวกับใคร และยังเช่าด้วยเงินเดือนของตัวเองที่มาจากการฝึกงานด้วย สิ่งที่พิเศษสุดๆของห้องเช่าห้องนี้ก็คือวิวจากหน้าต่างบานใหญ่ในห้องนั่งเล่นที่อลังการงานสร้างมาก มองออกไปเห็นวิวธรรมชาติและชนบทของเยอรมนีที่กว้างไกล และเห็นไกลไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ที่อยู่ในฉากหลังเลย สวยมากๆ เป็นอะไรที่ไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่าในชีวิตเราจะได้มาเช่าห้องอยู่คนเดียวในห้องที่วิวสวยขนาดนี้ ตอนที่มาถึงคือดีใจเนื้อเต้น ถ่ายรูปรัวๆ นั่งดูวิว ดูดดื่มกับบรรยากาศ ดูดดื่มกับค่ำคืนแรกในห้องเช่าห้องใหม่แห่งนี้อย่างเต็มที่ เข้านอนเสร็จพอตอนเช้าก็ยังรีบตื่นเดินออกมาห้องนั่งเล่นมาดูวิวยามเช้ากับถ่ายรูปรัวๆอีก เห่อมากๆ แต่ก็อิ่มเอิบใจมากๆด้วย

จริงๆแล้วตอนที่ได้รับตอบรับจากบริษัทให้ไปฝึกงาน เค้าบอกว่าให้เริ่มงานวันที่ 1 ตุลาคม แต่ไปๆมาๆ เค้าขอเลื่อนเป็นเริ่มงานวันที่ 15 ตุลาคมแทน เราเลยมีเวลาว่างสองอาทิตย์เต็มๆให้ปรับตัวเข้ากับบ้านใหม่ เมืองใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ วิถีชีวิตใหม่ และมีเวลาสำหรับไปสำรวจพื้นที่รอบๆด้วย ช่วงแรกๆเราก็ขึ้นรถเมล์เที่ยวแถวใกล้ๆหรือไม่ก็เดินเท้าเอาบ้าง แต่ผ่านไปซักพักพอหาซื้อจักรยานมือสองจากเว็บ ebay-kleinanzeige มาได้เราก็ขี่จักรยานเที่ยว ซึ่งแถวๆนั้นก็จะอารมณ์แบบชนบท มีแต่หมู่บ้านเล็กๆ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ แล้วก็ภูเขาแม่น้ำ วัว ม้า และธรรมชาติสวยงาม เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากเจ็ดปีที่ผ่านมาที่อยู่แต่ในเมืองมาตลอด มาปลีกวิเวกอยู่ในชนบทอันเงียบสงบและธรรมชาติสวยงามแทนบ้าง

เมืองที่เราอยู่ที่ชื่อว่า Immenstadt ถึงจะมีขนาดใหญ่ระดับเป็นเมือง แต่ก็เป็นเมืองที่เล็กมากๆๆๆ เดินไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็น่าจะทั่วแล้ว แต่จากที่ไปเดินเที่ยวเมืองอื่นๆแถวๆนั้นมาเรารู้สึกว่าเมือง Immenstadt นี้สวยสุดละ คือเหมือนจะเป็นเมืองเดียวในแถบใกล้ๆนั้นเลยที่มีจัตุรัสกลางเมืองเป็นกิจจะลักษณะและรอบๆจัตุรัสกลางเมืองนั้นก็ยังมีตึกโบราณเก่าๆสวยๆสีสันสดใสน่ารักๆตั้งอยู่อีกด้วย ซึ่งบางเสาร์อาทิตย์ก็จะมีตลาดนัดมาตั้งตรงจัตุรัสนั้นด้วยให้เราไปเลือกซื้อผักผลไม้ เนื้อสัตว์ ชีส และผลิตภัณฑ์การเกษตรต่างๆจากเกษตรกรโดยตรงเลยได้ ไม่ต้องไปซื้อที่ซุเปอร์มาร์เก็ต พูดถึงเรื่องซื้อของแล้ว ถึง Immenstadt จะเป็นเมืองเล็ก แต่ตั้งแต่อยู่มาก็รู้สึกว่าสามารถหาซื้อทุกอย่างที่ต้องการได้นะ แต่จะไม่ค่อยมีแหล่งบันเทิง อย่างบาร์ก็มีแค่ไม่กี่แห่ง โรงหนังก็ไม่มี ร้านอาหารแฟรนไชส์ต่างๆก็ไม่มีเลย แหล่งบันเทิงของคนแถวนี้ก็คงจะเป็นภูเขา ทะเลสาบ กับธรรมชาติรอบๆนั่นแหละ 55 หรือไม่ก็ต้องนั่งรถไฟไปเมืองใกล้ๆเอา ยังดีที่เมืองนี้มีสถานีรถไฟอยู่และรถไฟส่วนใหญ่ที่วิ่งผ่านเส้นนี้ก็แวะจอดที่นี่ ทำให้จากเมืองนี้เราสามารถเดินทางโดยรถไฟไปยังที่อื่นๆได้สะดวก

สามสี่วันก่อนวันเริ่มงาน เราวิดีโอคอลล์คุยกับหัวหน้าจากที่บ้านเพื่อนัดแนะเรื่องต่างๆ ซึ่งก็มีเรื่องที่ทำให้ช็อคคือสถานที่ทำงานนั้นเป็นคนละที่กับที่เราเข้าใจ!!! แต่ก็คืออยู่ไกลจากบ้านเราพอๆกัน 55555 โล่งอกไป 555 คือบริษัท Bosch สาขาที่เราทำงานจะชื่อสาขาว่า Blaichach ที่มีที่ตั้งหลักอยู่ที่เมือง Blaichach แต่ว่าก็จะมีที่ตั้งอีกที่ที่สร้างขึ้นมาทีหลังอยู่ที่เมือง Immenstadt แต่ก็ยังเป็นส่วนนึงของสาขา Blaichach อยู่ เวลาพูดถึงสาขา Blaichach เค้าเลยจะหมายถึงทั้งสองตำแหน่งนี้ ซึ่งเราก็รู้ว่าตรงแถวนั้นมันมีบริษัทนี้ตั้งอยู่ในสองตำแหน่งนี้ แต่เวลาเราเข้ากูเกิลดูประกาศหางานของ Bosch เราจะเห็นบางตำแหน่งงานลงประกาศว่าที่ตั้งที่ Immenstadt บางตำแหน่งงานก็ลงว่า Blaichach และประกาศหางานอันที่เค้ารับเราเค้าก็เขียนว่า Blaichach เลยทำให้เข้าใจผิด แต่โชคดีที่บ้านเราตั้งอยู่ระหว่างสองที่ตั้งนี้พอดี พระเจ้าเข้าข้างอีกแล้ว 55

ตั้งแต่ตกลงรับฝึกงานที่นี่ เราก็ตั้งใจไว้ว่าจะขี่จักรยานไปกลับที่ทำงานเอา ปรากฏว่าตัวบริษัทที่เราฝึกงานนั้นอยู่ห่างจากบ้านเราไปประมาณสี่กิโลกว่าๆ ซึ่งเราไม่เคยขี่จักรยานไปกลับรายวันด้วยระยะทางขนาดนี้เลย มีแอบคิดว่าหรือจะนั่งรถเมล์ไปกลับดี แต่ว่าเพราะว่าค่าตั๋วรถเมล์แถบนี้ราคาสูงถึงประมาณเที่ยวละ 120 บาท ซึ่งถึงแม้จะเทียบกับค่าครองชีพที่เยอรมนีแล้วก็ยังถือว่าแพง T-T แถมนอกจากนี้รถเมล์ที่วิ่งผ่านบ้านเราไปจอดหน้าที่ทำงานตรงๆยังมีแค่หนึ่งเที่ยวต่อวัน และออกจากป้ายบ้านเราตั้งแต่หกโมงสี่สิบนาทีอีก เช้ามาก T.T รถอีกเที่ยวที่ออกช้ากว่านี้ก็ไปจอดไกล ต้องเดินต่อเข้าไปตรงที่ทำงานอีกระยะหนึ่งอีก เลยยึดเอาแผนเดิม คือเน้นขี่จักรยานไปกลับแทน ประหยัดเงินแถมไม่ต้องกลัวตกรถ แต่ว่าพอได้ขี่จริงๆแล้วก็โอเคอยู่ ค่อยๆขี่ไปเรื่อยๆก็ถึงที่ทำงานอย่างไม่เหนื่อยมาก และที่สำคัญคือวิวระหว่างทางจากบ้านไปที่ทำงานนั้นก็สวยมากๆ ขี่ไปดูวิวไปเรื่อยๆ ทำให้ลดความเหนื่อยลงไปได้เยอะเลย (แต่บางวันจะเหม็นขี้วัวมาก เพราะถนนตัดผ่านทุ่งหญ้าที่ชาวไร่ปล่อยวัวมากินหญ้าทั่วไป)

วันแรกของการทำงานเราก็ขี่จักรยานไปถึงยังทางเข้าหลักของบริษัทตั้งแต่เช้าตามเวลาที่นัดกับหัวหน้าไว้ พอเดินผ่านประตูเข้าไปก็เห็นเด็กฝึกงานคนอื่นอีกสองสามคนมานั่งๆยืนๆรออยู่ อารมณ์เหมือนเปิดเทอมใหม่เลย 555 แล้วเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับก็ให้เราเซ็นยืนยันว่าตรวจโควิดจากบ้านมาแล้วว่าผลเป็นลบ (เจ้านายบอกล่วงหน้าระหว่างที่วิดีโอคอลล์เมื่อสามสี่วันที่แล้วแล้วว่าให้ไปหาซื้อชุดตรวจโควิดที่ซุเปอร์มาร์เก็ตมาตรวจเองที่บ้านก่อนไปทำงานวันแรกด้วย แล้วพอเข้าทำงานแล้วเค้าจะแนะนำให้ตรวจเองที่บ้านตอนเช้าก่อนไปทำงานทุกวันด้วย แต่ว่าจะไม่มีการเช็ค และบริษัทก็จะมีชุดตรวจฟรีให้หยิบกลับไปบ้านได้ด้วย) แล้วก็จะต้องเข้าไปถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวพนักงานที่ห้องด้านหลัง ก่อนจะออกมานั่งรอหัวหน้ามารับ ซึ่งเด็กฝึกงานแต่ละคนก็จะมีหัวหน้าคนละคนแล้วแต่แผนกที่ตัวเองอยู่ (หรือจริงๆอาจจะต้องเรียกว่าที่ปรึกษามากกว่ารึเปล่า แต่ขอเรียกว่าหัวหน้าละกัน ฟังดูคุ้นปากดี) ระหว่างที่นั่งรอหัวหน้าอยู่เราก็คุยกับเด็กฝึกงานหน้าใหม่คนเยอรมันที่นั่งข้างๆ คุยไปคุยมาปรากฏว่าเค้าเรียนป.ตรีคณะเดียวกันกับเราที่มหาลัยเดียวกันกับเราด้วย 555 แต่ยังเม้าไม่เสร็จหัวหน้าก็มารับขึ้นไปที่ทำงานแล้ว

ช่วงที่เรามาฝึกงานนี้ บริษัทยังโดนผลกระทบจากโควิดอยู่ พนักงานหลายคนยังคงถูกลดจำนวนวันทำงานให้มาทำแค่ไม่กี่วันต่อสัปดาห์ บางคนก็สามารถทำงานจากที่บ้านเป็น home office ได้ ทำให้ออฟฟิศจะดูโล่งๆไม่ค่อยมีคน นอกจากการลดจำนวนการทำงานลงแล้ว บริษัทยังมีมาตรการบังคับให้พนักงานใส่หน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นตอนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง กับตอนที่อยู่นอกอาคาร และการพูดคุยประชุมต่างๆก็จะแนะนำให้ทำผ่านวิดีโอคอลล์กัน นอกจากนี้เค้ายังแบ่งเวลาพักกลางวันออกเป็นช่วงๆ แบบช่วง 11:00-11:30 ให้ตึกหนึ่งพัก ครึ่งชั่วโมงถัดไปตึกสองพัก ถัดไปเรื่อยๆจนครบทุกตึก ไม่ได้ให้ทุกคนพักกลางวันเวลาเดียวกัน อะไรอย่างนี้ แล้วการพักกลางวันก็คือการเดินไปซื้อข้าวกลางวันที่โรงอาหารใส่กล่องแล้วก็เดินกลับไปกินที่ตึกที่โต๊ะทำงานของตัวเอง จะไม่มีการนั่งกินข้าวที่โรงอาหาร ที่บริษัทนี้เค้าจะกำหนดเวลาพักกลางวันให้เป็นเวลา 45 นาที ซึ่งจะถูกหักออกจากเวลาทำงานแต่ละวันโดยอัตโนมัติ คือตอนเรามาทำงานกับตอนกลับบ้านเราจะต้องแตะบัตรประจำตัวกับเครื่องแตะบัตรตรงประตูทางเข้าออกแผนก ซึ่งระยะเวลาทั้งหมดระหว่างการแตะบัตรสองครั้งจะถูกหัก 45 นาทีนี้ออกไปแล้วก็จะถูกบันทึกเป็นเวลาทำงานของวันนั้นของเรา ซึ่งตามกฏหมายแล้วไม่พักก็ไม่ได้นะ เพราะกฏหมายกำหนดว่าในแต่ละวัน ถ้าเราทำงานเกินวันละหกชั่วโมง เราจะต้องมีการพักกลางวันอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

ในส่วนของระยะเวลาการทำงานต่อสัปดาห์นั้น บริษัทนี้กำหนดให้เป็น 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ 7 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเราจะทำมากกว่านี้ก็ได้ ตอนเราแตะบัตรเข้าออก เครื่องก็จะบันทึกเวลาทำงานทั้งหมดเอาไว้ ถ้าเราทำงานเกินเวลาสะสมไปเยอะๆ เราก็สามารถเอาเวลาที่เกินนั้นไปเป็นวันหยุดในภายหลังได้ ที่ Bosch นี้เค้าจะมีโมเดลการทำงานที่เรียกว่า Gleitzeit ในภาษาเยอรมัน ก็คือเค้าจะกำหนดว่าพนักงานจะเริ่มงานและเลิกงานตอนกี่โมงก็ได้ในช่วงเวลา 6:30-18:00 แต่ว่าในช่วงเวลาหลักที่เค้าเรียกว่า Kernarbeitszeit ที่เป็นช่วง 9:00-15:00 ทุกคนจะต้องอยู่ที่ทำงาน หรือไม่ก็ต้องกำลังทำงานที่ home office แล้วและสามารถติดต่อคุยงานได้ ซึ่งอันนี้เป็นอะไรที่ดีมากสำหรับเรา เพราะจะได้ตื่นไปทำงานกี่โมงก็ได้ และจะได้ทำงานเยอะๆเก็บชั่วโมงไปเป็นวันหยุดในภายหลังได้ ไม่รู้ว่าที่ไทยมีบริษัทไหนทำแบบนี้ได้มั้ย

ในส่วนของพักกลางวัน ที่บริษัทจะมีโรงอาหารหนึ่งแห่งเป็นของตัวเอง ซึ่งแต่ละวันตอนพักกลางวันจะมีเมนูให้เลือกสองถึงสามเมนู แล้วก็จะมีของหวานสองสามอย่าง กับสลัดสองสามอย่างให้เลือกหยิบได้ แล้วก็ไปจ่ายเงินกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ เหมือนในโรงอาหารมหาลัยเลย ที่บริษัทนี้นักศึกษาที่ฝึกงานจะเป็นพนักงานแค่กลุ่มเดียวที่จะได้ส่วนลดเมื่อซื้อข้าวกลางวันที่โรงอาหาร (นักเรียนที่มาทำงานพาร์ทไทม์หรือนักเรียนที่ทำธีสิสที่นี่เต็มเวลาก็ไม่ได้ส่วนลดนี้) ซึ่งราคาข้าวกลางวัน (ไม่รวมของหวานกับสลัด) เมื่อหักส่วนลดออกไปแล้วหลายๆครั้งก็ราคาไม่เกินร้อยบาทเอง ถูกกว่ากินข้าวห้างที่ไทยไปอีก เป็นอะไรที่ดีมากๆ ช่วยประหยัดเงินไปได้เยอะมากๆเลย

ในส่วนของตัวงาน จริงๆแล้วไม่ค่อยตรงสายกับที่เราเรียนเลย 555 แต่ว่าก็ตกลงทำเพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีบริษัทอื่นรับอีกมั้ย 5555 แต่ก็เพราะว่าเป็นบริษัท Bosch ที่มีชื่อเสียงด้วย แผนกที่เราไปทำคือแผนก Production planning ส่วนตัวงานหลักที่เราต้องทำจะออกไปทางแนว Data engineer ซึ่งเราก็ต้องไปหัดใช้โปรแกรมใหม่ แล้วก็ต้องรับช่วงงานต่อจากที่เด็กฝึกงานคนเก่าทำเอาไว้ ซึ่งตอนแรกก็ต้องมาทำความเข้าใจงานที่เค้าทำเอาไว้อีก ตอนแรกที่หัวหน้าอธิบายว่าให้ทำอะไรๆบ้างเราคือช็อคเบาๆ ด้วยความที่ไม่เคยใช้โปรแกรมนี้เลยเลยงงไปหมด คิดในใจว่าจะไหวมั้ย 55 แต่หัวหน้าก็คือดีมาก บอกว่าไม่ต้องกังวล ค่อยๆหัดค่อยๆทำความเข้าใจ จะเปิดยูทูบนั่งเรียนดูก็ได้หรือจะอ่านจากเน็ตอะไรก็ได้แล้วแต่เลย ถ้าสงสัยอะไรก็เดินมาถามเค้าได้ตลอด ถึงกับขนาดบอกว่าถ้าเราไม่เข้าใจจริงๆเดี๋ยวไว้มาช่วยกันนั่งดูงานที่เด็กฝึกงานคนเก่าทำไว้ไปทีละขั้นๆกับเค้าก็ได้ ขนาดนั้นเลย แต่เอาเข้าจริงพอมานั่งดูนั่งทำความเข้าใจไปเรื่อยๆก็ได้อยู่ พอผ่านไปไม่กี่วันก็นั่งทำงานคล่องละ บางช่วงก็จะได้เดินไปดูในส่วนที่เป็นโรงงานบ้าง ไปดูตามสายการผลิตต่างๆแล้วจดบันทึกต่างๆ อะไรอย่างนี้ ในบริษัทส่วนที่เราไปฝึกงานนี้เป็นส่วนที่เค้าผลิตชิ้นส่วนในระบบ ABS และ ESP ในรถยนต์และส่งไปให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆและส่งออกไปให้ลูกค้าอื่นๆทั่วโลก

สิ่งหนึ่งที่ดูจะเป็นปัญหาสำหรับเราในการฝึกงานนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องภาษา คือถึงจะอยู่เยอรมนีมาได้เจ็ดปีแล้วแต่ยังไง้ยังไงก็รู้สึกว่าระดับภาษาของเรามันค้างอยู่ที่ระดับๆนึง ไม่ยอมพัฒนาขึ้นจากระดับนี้ซักที ไม่เหมือนตอนช่วงหกเดือนแรกหลังจากเริ่มเรียนภาษาที่ตอนนั้นทักษะภาษาก้าวกระโดดแบบเร็วมากๆ ปัญหาหลักๆคือเวลาเพื่อนร่วมงานคนอื่นคุยกันนอกเวลางาน หรือเวลาประชุมอะไรงี้จะฟังแทบไม่รู้เรื่องเลย คือไม่ใช่ว่าฟังไม่ออกเลยว่าคุยอะไรบ้างแต่จะตั้งสติให้ฟังให้รู้เรื่องยากมาก คือจะฟังเข้าหูออกหู ฟังออกเป็นคำๆแต่จับใจความไม่ได้เลยเพราะลืมไปแล้วว่าคำหรือประโยคที่แล้วเค้าพูดว่าอะไร เหมือนสมองมันปล่อยเบลอ ถ้าอยากจะพยายามฟังให้รู้เรื่องต้องรวบรวมพลังลมปราณเพื่อไม่ให้สติหลุดลอยและตั้งใจฟังทุกคำให้ได้ แล้วประเด็นคือคนแถวนี้เค้าจะพูดสำเนียงท้องถิ่นกันด้วย เวลาเค้าคุยกันเองแล้วสำเนียงออกเยอะๆจะยิ่งฟังยากขึ้นไปใหญ่ ยังดีที่เราไม่ได้มีส่วนสำคัญเวลาเค้าประชุมกันเท่าไหร่ ส่วนสำคัญส่วนใหญ่คือเวลาคุยส่วนตัวกับหัวหน้า ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็จะรู้เรื่องมากกว่า แต่ในเรื่องของการพูดก็ไม่ได้ดีกว่าการฟังเท่าไหร่ โดยเฉพาะเวลาพูดในเรื่องงานที่ต้องใช้ศัพท์เฉพาะหรือคำกริยาหรือประโยคที่ไม่ค่อยได้ใช้ บางทีต้องเปิดดิคดูไว้ก่อนว่าต้องพูดยังไงถึงจะถูกก่อนจะพูดกับหัวหน้า บางทีก็รู้สึกหงุดหงิดปนท้อนะว่าเมื่อไหร่จะฟังพูดได้คล่องๆซักที ถ้าต้องไปทำงานจริงๆ ต้องประชุมจริงจังกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าจริงๆจะรอดมั้ย

เรื่องดีเรื่องหนึ่งที่ตกใจกับตัวเองก็คือความสามารถในการนอนเป็นเวลาและตื่นไปทำงานตอนเช้าทันทุกวัน เพราะว่าตอนที่เรียนมหาลัยที่มันไม่บังคับเข้าเรียนนี่เราแทบไม่เคยนอนและตื่นเป็นเวลาเลย ตื่นสายตลอด นอนหลังเที่ยงคืนตลอด หลายๆทีคือนอนกลางวันตื่นกลางคืนไปอีก ตอนก่อนจะมาฝึกงานเราแอบกังวลว่าจะตื่นเช้าไปทำงานทุกวันได้มั้ย จะตื่นสายไปทำงานสายมั้ย แต่พอเอาจริง ผ่านมาได้สองอาทิตย์แล้วก็ตื่นไปทำงานทันสบายๆตลอดนะ แล้วก็นอนเป็นเวลาตลอดเลย อาจจะเพราะว่านอกจากงานที่ทำแล้ว แถวๆที่เราอยู่นี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำเลยด้วยก็ได้ 555 แม้แต่เพื่อนก็ไม่มีเลย ทุกวันนี้ทำงานเสร็จกลับบ้านเล่นเน็ตดูหนัง บางวันก็ทำกับข้าวกินด้วย แล้วก็เข้านอนตลอด ไม่มีกิจกรรมอื่นเลย นี่รึเปล่าชีวิตการทำงาน 55 แต่สิ่งที่เราชอบก็คือพอทำงานเสร็จแต่ละวันแล้วก็คือจบเลย ทำอย่างอื่นได้อย่างอิสระ ไม่เหมือนตอนเรียนหนังสือที่ต้องพะวงกับการเรียน การอ่านหนังสือ การทำการบ้าน การเตรียมสอบเกือบจะตลอดเวลาทำให้บางทีก็เอ็นจอยกับเวลาว่างได้ไม่เต็มที่ ความรู้สึกนี้ตอนที่ทำงานแล้วคือไม่มีเลย นอกเวลางานก็สบายมาก อิสระ ชีวิตดี วันหยุดคือไปเที่ยวได้อย่างสบายใจ สมองกับสุขภาพจิตไม่ขุ่นมัว ชอบมากๆๆ ชีวิตในฝันเลย ทำงานเสร็จกลับมาพักผ่อนที่บ้านสวยๆ มีวิวสวยๆ เล่นเน็ต ดูทีวี ทำอาหาร พักผ่อนไปตามเรื่อง เสาร์อาทิตย์ก็ไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ มีวันหยุดเมื่อไหร่ก็หาตั๋วราคาถูกไปเที่ยวไกลๆ ขอแค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องรวยล้นฟ้า (แต่ถ้ารวยก็ดี 555) อันนี้คือความรู้สึกตอนนี้นะ ผ่านไปอีกซักเดือนสองเดือนอาจจะเปลี่ยนใจรึเปล่าก็ไม่รู้ ต้องดูกันต่อไป 55 เดี๋ยวไว้กลับมาเขียนเล่าใหม่

Petch in Deutschland อีกครั้ง

หลังจากที่ชีวิตห้าเดือนในประเทศอิตาลีที่เป็นดั่งความฝันอันยาวนานที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกลับไปประเทศเยอรมนี แผนที่คิดไว้ตอนแรกตั้งแต่ตอนก่อนไปแลกเปลี่ยนที่อิตาลีโน่นเลยก็คือระหว่างที่แลกเปลี่ยนอยู่ เราจะหาที่ฝึกงานในประเทศเยอรมนีสำหรับตอนเทอมต่อไปไปพลางๆด้วย ตอนแรกคิดว่าคงหาไม่ยากมาก เพราะถามเพื่อนทั้งคนไทยคนเยอรมันเห็นสมัครกันสามสี่ที่ก็ได้แล้ว ปรากฏว่าถึงเวลาหาจริงๆ เราสมัครไปเป็นสิบๆที่ เวลาก็ผ่านไปจากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์เป็นเดือน จนเป็นหลายเดือนแล้วก็ยังหาที่ฝึกงานไม่ได้ซักที จากตอนแรกที่นั่งหาข้อมูลแต่ละบริษัทที่จะสมัครเพื่อเขียนจดหมายสมัครงานแบบจริงจังมากๆ เขียนเสร็จก็ต้องส่งให้เพื่อนคนเยอรมันช่วยตรวจช่วยแก้ให้ก่อนสมัครอีก ส่งไปหาเพื่อนคนเดิมบ่อยๆก็เกรงใจกลัวเค้าจะรำคาญเลยต้องส่งไปหลายๆคนอีก (นอกจากนี้เรายังส่งอีเมลล์ไปที่ Career Center ของมหาลัยเพื่อนัดวิดีโอคอลล์เพื่อขอคำปรึกษา และให้เค้าช่วยวิจารณ์จดหมายสมัครงานของเราให้ด้วย) ใช้เวลาเยอะมากเป็นวันๆกว่าจะเขียนออกมาได้ จนหลังๆกลายมาเป็นไม่อ่านไม่หาข้อมูลอะไรเยอะแล้ว อ่านแค่ประกาศสมัครงานแล้วเอาข้อความจากจดหมายสมัครงานอันก่อนหน้ามาก๊อปแปะกับเปลี่ยนนิดๆหน่อยๆพอ 555 อารมณ์แบบเซ็งและเหนื่อยใจปนท้อด้วยตอนนั้น หลายๆบริษัทเราตั้งใจเขียนจดหมายสมัครงานมากแต่ก็โดนปฏิเสธอยู่ดี แล้วจะตั้งใจขนาดนั้นทำไม เหมือนเสียเวลาเปล่า ประมาณนั้น จนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเดือนสุดท้ายในประเทศอิตาลี เหลือเวลาอีกแค่สองเดือนเท่านั้นก็จะเปิดเทอมใหม่แล้วแต่ก็ยังหาที่ฝึกงานไม่ได้ ณ ตอนนั้นเราส่งใบสมัครไป 21 ที่ แต่มีเชิญไปสัมภาษณ์แค่สองที่แล้วก็โดนปฏิเสธมาทั้งสองที่ (ที่แรกเกือบได้แล้ว แต่เหมือนกับระหว่างนั้นมีคนใหม่สมัครมาพอดีแล้วเผอิญเค้าปั๊วะกว่าเรา เลยโดยปาดหน้าไป) ตอนแรกก็ถอดใจละ เปลี่ยนเป็นหาสมัครที่เขียนธีสิสที่มหาลัยแทนละกัน (ที่อยากสมัครฝึกงานมากกว่าเพราะว่าจะได้มีประสบการณ์ไปเขียนลงใน CV แล้วก็จะได้มีเงินเดือนด้วย แล้วก็เผื่อจะได้เจอช่องทางหาทางเข้าทำงานต่อด้วย ถ้าเราทำธีสิสที่มหาลัยก็จะไม่มีเงินเดือน ต้องอยู่อย่างกระเบียดกระเษียรเหมือนเดิม) แต่พอดีช่วงนั้นมีโอลิมปิกเกมส์ แล้วไทยก็ได้เหรียญทองเทควันโดหญิงพอดี แล้วมันมีสตอรี่ว่าน้องเทนนิสที่เป็นตัวแทนเทควันโดหญิงไทยปีนั้น ตอนแรกเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วินาทีจะจบเกมแล้วแต่ว่าคะแนนยังตามคู่แข่งอยู่ แต่ว่าตอนที่เหลือเวลาอีกแค่เจ็ดวินาทีสุดท้ายนั้น อยู่ดีๆก็กลับพลิกขึ้นมานำคู่แข่งได้จนในที่สุดก็ทำให้ชนะการแข่งขันและนำเหรียญทองโอลิมปิกกลับมาประเทศไทยจนได้ พอได้อ่านสตอรี่นั้นเราเลยมีแรงบันดาลใจทำให้กลับมาฮึดหาที่ฝึกงานอีกรอบแล้วก็ส่งใบสมัครไปเพิ่มอีกหกที่ ตอนนั้นคือไม่เลือกบริษัทละ ดูแค่ว่างานตรงกับที่เราสนใจรึเปล่า requirements พอตรงกับคุณสมบัติของเรามั้ย และขนาดบริษัทไม่เล็กเกินไปใช่มั้ย ไม่อยู่ไกลขนส่งมวลชน ไกลความเจริญเกินไปใช่มั้ย สมัครเสร็จก็รอด้วยความหวัง ปกติหลายๆบริษัทเค้าจะให้สมัครล่วงหน้าเป็นเดือนๆ แต่ ณ ตอนนั้นไม่สนใจละ สมัครไปก่อน อย่างอื่นค่อยคิดทีหลัง แล้วก็รอๆๆ

ภาพจากเมือง Ulm ที่แว้บไปเที่ยวมานิดนึง

ระหว่างที่รอผลสมัครงาน เราก็ต้องหาบ้านสำหรับเดือนต่อไปในเยอรมนีไว้ด้วย ตอนแรกที่ถอดใจกับการหาที่ฝึกงานและคิดว่าจะกลับไปทำธีสิสที่มหาลัยแล้วนั้น เราหาแต่บ้านระยะยาวที่เมืองมหาลัยป.โทของเรา ก็คือเมือง Aachen แต่พอเปลี่ยนใจจะลองกลับไปหาที่ฝึกงานอีกครั้ง เราก็เปลี่ยนเป็นหาบ้านที่ไหนก็ได้ในเยอรมนีที่ให้เช่าระยะเวลาแค่หนึ่งเดือนและค่าเช่าถูกๆแทน (คือเช่าในระหว่างที่คนเช่าหลักไม่อยู่ หรือที่เค้าเรียกว่า Untermiete หรือ Zwischenmiete) ตอนนั้นเราก็หาบ้านในเมืองที่อยากอยู่หลายๆเมือง มีเมือง Berlin, Leipzig, Heidelberg กับ Karlsruhe เข้าไปเช็คในเว็บ wg-gesucht.de วันละหลายๆรอบว่ามีใครลงโฆษณาใหม่มามั้ย แล้วก็เขียนๆไปหาคนที่ลงโฆษณา มีตอบรับ มีวิดีโอคอลกับคนเช่าหลักเพื่อดูห้องสามสี่ที่ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจมาอยู่ห้องในเมือง Karlsruhe ที่ค่าเช่าถูกมาก นอกจากค่าเช่าถูกแล้ว อีกเหตุผลที่เลือกมาอยู่เมืองนี้ก็คือเพราะว่าเราเรียนป.ตรีที่เมืองนี้ เลยอยากกลับมาเจอเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทั้งคนไทยและคนเยอรมันที่รู้จักด้วย

สภาพลานจอดจักรยานของห้องสมุดของมหาลัยที่ถูกทิ้งร้างช่วงโควิดจนหญ้าขึ้นรกรุงรัง

ก่อนจะบินกลับเยอรมนีเราสัมภาษณ์ออนไลน์ไปสองที่ ซึ่งเป็นสองที่จากเซ็ตหกที่ที่เราสมัครไปล่าสุด เสร็จแล้วเราก็บินกลับไปเยอรมนี ไปลงที่เมืองเบอร์ลิน ไปพักบ้านเพื่อนอยู่สามสี่คืน ระหว่างนั้นก็สัมภาษณ์ออนไลน์กับอีกบริษัทนึง แล้วก็ไปเที่ยว Thai Park ด้วย ซึ่ง Thai Park นี้เป็นสวนในเมืองเบอร์ลินที่เมื่อก่อนคนไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองเบอร์ลินจะชอบมาปิคนิคแล้วทำอาหารกินช่วงสุดสัปดาห์กัน ทำไปทำมาก็เริ่มเกิดการแลกเปลี่ยนอาหารกัน แล้วก็เริ่มมีการทำขายกัน พอชื่อเสียงของสวนที่มีคนไทยมาทำอาหารขายช่วงเสาร์อาทิตย์เริ่มกระจายออกไปก็เริ่มมีคนมาเดินเยอะขึ้น แล้วก็มีคนมาทำขายเยอะขึ้นด้วย นั่งทำกันบนพื้นบนเสื่อตามมีตามเกิดนี่แหละ พอตำรวจมาตรวจก็บอกว่ามาปิคนิคกันเฉยๆไม่ได้ทำขาย (ที่เยอรมนีอยู่ๆจะทำอาหารขายสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ผิดกฏหมาย ต้องผ่านมาตรฐานและขออนุญาตต่างๆมากมาย) หลังๆมาเลยกลายเป็นอารมณ์แบบคนรู้ว่ามีแต่ก็ไม่มีใครจัดการอะไรจริงๆจังๆซักที จนเพิ่งเมื่อซักปีที่แล้วนี่แหละ ทางเทศบาลเมืองเบอร์ลินถึงมาจัดการทำให้มันเป็นหลักแหล่ง ให้ถูกต้องตามกฏหมาย เราเคยได้ยินเรื่องสวนนี้มานานแล้วแต่ไม่ได้ไปซักที จนเพิ่งมาได้ไปตอนนี้ที่เค้าจัดการทำให้ถูกกฏหมายแล้ว จากนั่งทำกันบนพื้นบนเสื่อ ตอนนี้ก็มีเป็นซุ้มตั้งๆให้อย่างเป็นกิจจะลักษณะ ของกินก็มีทั้งอาหารไทย อาหารอีสาน หมูปิ้ง ผัดไทย หอยทอด ก๋วยเตี๋ยว ขนมหวาน และอื่นๆอีกมากมาย อารมณ์เหมือนตลาดนัดบ้านเราเลย ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้เห็นข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้าวเหนียวมะม่วง กับกล้วยทอด ไข่นกกระทาทอด ตั้งขายอยู่ที่เยอรมนี หมดเงินไปเยอะมากกับตลาดนี้ (ราคามันไม่ได้ถูกเหมือนที่ไทย) แต่ว่าฟินสุดๆ อยากให้เมืองอื่นมีแบบนี้บ้าง

จากเบอร์ลิน เราก็เดินทางมา Karlsruhe กลับมายังเมืองเก่าที่เคยอาศัยอยู่นานถึงสี่ปีสมัยเรียนป.ตรี ห้องที่มาเช่าอยู่เดือนนึงนี้เป็นห้องในอพาร์ตเมนท์แบบแชร์ห้องน้ำห้องครัวกับแฟลตเมทคนเยอรมันสามคน ในพาร์ตเมนท์มีระเบียงสำหรับนั่งอาบแดดและดูวิวที่ถูกตกแต่งไปด้วยต้นไม้มากมายที่แฟลตเมทเค้าปลูกกันไว้ด้วย เป็นอะไรที่ดีงามมาก แต่รู้สึกว่าแฟลตเมทไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ คือไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่รู้สึกเหมือนเค้าไม่ได้อยากคุยอะไรกับเราเท่าไหร่ แต่ยังดีที่เมืองนี้เรามีเพื่อนๆอยู่เยอะ โดยเฉพาะเพื่อนๆคนไทยที่กินข้าวกับปาร์ตี้กันบ่อย เลยไม่เหงา

หลังจากที่มาถึง Karlsruhe ได้ไม่กี่วันเราก็ได้อีเมลล์ตอบปฏิเสธมาจากบริษัทที่เราสัมภาษณ์ไปตอนอยู่ที่เบอร์ลิน ผิดหวังอีกรอบ ฮือ เราเลยกลับมาเช็คเว็บมหาลัยเพื่อหาหัวข้อสมัครทำธีสิสอีกครั้ง แล้วก็ส่งอีเมลล์สมัครทำธีสิสไปหาที่ปรึกษาสองคน แต่นอกจากนั้นก็ยังส่งอีเมลล์สมัครงานไปเพิ่มอีกเก้าที่ด้วย ผ่านไปอีกแค่วันเดียวก็ได้อีเมลล์เชิญไปสัมภาษณ์ฝึกงานจากบริษัทนึง กับจากที่ปรึกษาธีสิสคนนึง เราไปสัมภาษณ์ฝึกงานก่อน แล้ววันต่อมาก็ได้อีเมลล์ตอบปฏิเสธมาจากบริษัทหนึ่งที่สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้ที่เป็นตำแหน่งที่อยากได้มากด้วย แห้วไปอีกรอบ แต่แล้ววันถัดมา อีเมลล์ที่รอคอยก็มาถึง! อีเมลล์ตอบรับเข้าฝึกงาน!!! จากบริษัทสุดท้ายที่เหลือจากเซ็ตหกที่ที่สมัครไปตอนช่วงเดือนสุดท้ายที่อิตาลี ก็คือบริษัท Robert Bosch ที่เมือง Blaichach ในแผนก Fertigungsplanung หรือ Production planning เริ่มงานเดือนหน้าเลย ซึ่งจริงๆแล้วตัวงานไม่ค่อยตรงกับคณะที่เรียนมาเท่าไหร่ เราเรียน Mechatronics กับ Automation มา แต่เท่าที่ฟังเค้าอธิบายตอนสัมภาษณ์มา งานจะออกไปทาง Data Analyse มากกว่า แต่ว่าก็ตอบรับไปเพราะบริษัทชื่อดัง และเพราะว่าไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะได้ตอบรับจากบริษัทอื่นเมื่อไหร่ อาจจะไม่ได้อีกเลยก็ได้ 555 จริงๆตัวงานของบริษัทที่เราเพิ่งสัมภาษณ์ไปก่อนที่จะได้คำตอบรับจาก Bosch ตรงกับงานที่เราอยากทำมาก แต่ด้วยความที่ก็ไม่รู้ว่าเค้าจะตอบรับมั้ย และอีกอย่างคือเงินเดือนน้อยด้วย 555 เลยตัดสินใจตอบตกลงรับฝึกงานของ Bosch ไปวันนั้นเลย แล้วก็ส่งอีเมลล์ไปยกเลิกฝึกงานอีกที่ที่ไปสัมภาษณ์มา แล้วก็ยกเลิกนัดสัมภาษณ์ธีสิสที่ยังไม่ได้ไปสัมภาษณ์ด้วย

ภาพจากย่านที่ชื่อว่า Durlach ที่เป็นย่านที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง Karlsruhe

หลังจากตอบรับฝึกงานเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาหาที่อยู่ ในที่สุดชีวิตก็กลับมาสู่จุดที่ลงหลักปักฐานที่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานๆอีกครั้งซะที หลังจากที่ร่อนเร่ไปมาเป็นเวลาเกือบสองเดือนโดยที่ไม่รู้ว่าต่อไปชีวิตจะไปปักหลักลงที่ตรงไหน แต่อุปสรรคก็ยังไม่จบ เพราะการหาบ้านครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เผลอๆหาบ้านครั้งนี้จะเครียดกว่าหาที่ฝึกงานซะอีก เพราะเรามีเวลาหาบ้านล่วงหน้าแค่ไม่ถึงหนึ่งเดือน แล้วบริษัทที่เราจะไปฝึกงานก็ตั้งอยู่ในชนบท แล้วแถวๆนั้นก็มีแต่หมู่บ้านกับเมืองเล็กๆ ทำให้ตัวเลือกบ้านมีน้อยมาก ในเว็บ wg-gesucht.de นี่มีบ้านที่อยู่แถวๆนั้นแค่สองที่ แต่ที่นึงเป็นฟาร์มที่เค้าจะให้คนที่ไปอาศัยช่วยทำงานในฟาร์มด้วย ส่วนอีกที่ก็อยู่บ้านนอกมาก ไม่ค่อยมีรถบัสวิ่งผ่าน เราเลยต้องหาบ้านจากประกาศในเว็บ immobilienscout24.de กับเว็บ ebay-kleinanzeigen.de ด้วย ซึ่งก็มีน้อยอยู่ดี แถมห้องเช่าที่มีลงประกาศไว้ บางห้องก็ใหญ่เกิน หรือไกลเกิน หรือว่าวันที่ย้ายเข้าได้อยู่หลังจากวันที่เราอยากย้ายเข้าไปไกลอีก บางที่ติดต่อไปแล้วเค้าไม่ตอบมาก็มี ตอนนั้นมีห้องที่เราติดต่อได้ห้องนึง เป็นห้องสตูดิโอ คือห้องเดี่ยวมีห้องน้ำในตัว แล้วก็ห้องนั่งเล่น ห้องครัว กับห้องนอนจะอยู่รวมกัน ที่พิเศษคือมีระเบียงด้วย แล้ววิวจากระเบียงคืออลังการงานสร้างมาก เป็นวิวของภูเขาและเนินทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา และด้วยความที่ตัวห้องตั้งอยู่ในบ้านที่อยู่บนเขา ทำให้เรามองเห็นวิวทิวทัศน์ของชนบทที่สวยงามได้กว้างไกลมาก ไกลไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ที่อยู่ไกลๆเลย แถวเมือง Blaichach ที่เราจะไปฝึกงานนี้ถึงจะมีข้อเสียตรงที่เป็นชนบทห่างไกล มีแต่เมืองเล็กๆไม่หวือหวา แล้วก็หาบ้านยาก แต่วิวทิวทัศน์รอบๆคือธรรมชาติอลังการ แถมเทือกเขาแอลป์ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม เหมือนกับมาทำงานในที่ที่คนอื่นเค้ามาเที่ยวตากอากาศกันเลย

ภาพห้องจากที่ลงโฆษณาในเว็บ

ตอนที่เห็นรูปของวิวจากระเบียงของห้องนั้นในโฆษณาห้องในเว็บ เราคิดในใจว่าแบบโหสวยมากๆ ห้องในฝันเลย ต้องอยู่ห้องนี้ให้ได้ จินตนาการไปถึงตอนที่เราอาศัยอยู่ที่ห้องนี้จริงๆ จินตนาการภาพเราทำงานกับคอมไปพลางหันหน้าออกไปมองวิวภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกไป กับภาพเราใส่เสื้อคลุมอาบน้ำ ถือกาแฟออกมานั่งจิบดูวิวตอนเช้าๆ หรือดูดาวตอนค่ำๆ ไปถึงนู่นแล้ว อยากได้มาก แต่ว่าห้องนี้มีปัญหาอยู่จุดหนึ่งตรงที่มันอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆที่ไม่ค่อยมีรถประจำทางวิ่งผ่านและในหมู่บ้านก็มีร้านรวงต่างๆน้อยมากๆ ซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ก็ไม่มีเลย ที่ทำงานก็อยู่ห่างออกไปประมาณเจ็ดแปดกิโล ซึ่งไม่ได้ไกลถึงกับจะขี่จักรยานไปกลับไม่ไหวแต่ก็คงเหนื่อยพอดู แต่รถบัสขาไปขากลับก็มีแค่ไม่กี่เที่ยวต่อวัน ถ้าจะเดินทางไปเที่ยวที่อื่นก็คงลำบากพอดูเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ตอนนั้นไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าแล้ว เราก็เลยตกลงว่าขอไปดูห้องๆนี้ แล้วเราก็เดินทางไปดูห้อง ซึ่งห้องนี้นั้นเจ้าของห้องเค้าฝากประกาศเช่าลงในเว็บ hc24.de ที่เป็นเว็บของบริษัทนายหน้าที่ช่วยหาคนมาเช่าห้องโดยที่ไม่คิดค่าบริการกับคนที่มาเช่า การติดต่ออะไรก็จะทำผ่านเจ้าหน้าที่ แล้วเจ้าหน้าที่ของบริษัทก็จะเป็นคนพาเรามาดูห้องด้วย ขอชื่นชมว่าเจ้าหน้าที่ให้บริการดีมากๆ พูดจาดี แล้วตอนที่โทรไปครั้งแรกว่าสนใจห้องนี้เค้าถามเราด้วยว่าแน่ใจใช่มั้ยว่าคิดมาละเอียดรอบคอบแล้วเพราะว่ามันอยู่ในหมู่บ้านที่ไม่ค่อยมีรถประจำทางวิ่งผ่านนะอะไรอย่างนี้ คือไม่ใช่แค่ว่าสั่งแต่จะขาย แล้ววันที่ไปดูห้องเค้าก็พูดจาดี ยิ้มแย้มแจ่มใส แถมขากลับยังให้เราติดรถกลับมาด้วยแถมยังขับพาดูเส้นทางจักรยานที่เราสามารถขี่ไปยังที่ทำงานได้อีก ประทับใจมาก ตอนดูห้องจริงก็คือชอบมาก วิวของจริงก็คือสวยเหมือนกับในรูป เย็นนั้นเราส่งอีเมลล์ไปบอกเค้าเลยว่าชอบมาก ตกลงอยากเช่าห้องนี้

ภาพที่ถ่ายวันที่ไปดูห้องจริง

แต่ปรากฏว่าหลังจากส่งเมลล์นั้นไปซักพัก ระหว่างทางที่นั่งรถไฟกลับ เราก็ได้ Notification จากเว็บ ebay-kleinanzeigen.de ว่ามีคนลงโฆษณาห้องเช่าใหม่ในเว็บ เลยกดเข้าไปดูเล่นๆ แต่ปรากฏว่าห้องในโฆษณาอันใหม่นั้นตรงตามความต้องการของเราเหมือนกัน แถมยังราคาพอๆกับห้องที่เราเพิ่งไปดูมาวันนี้เลยด้วย แต่ว่าห้องใหม่นี้ตั้งอยู่ในเมืองที่มีทางรถไฟวิ่งผ่าน ทำให้เดินทางไปไหนมาไหน และรวมถึงเดินทางไปที่ทำงานได้สะดวกกว่ามาก! เราเลยรีบส่งอีเมลล์ไปหาเจ้าของโฆษณาเลย แล้วอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเราก็ได้อีเมลล์ตอบกลับจากเจ้าของโฆษณาที่พิมพ์เบอร์มือถือมาแล้วก็บอกว่าถ้าสนใจก็โทรหาเค้าตอนนี้ได้เลย เราเลยโทรไปเลย คุยไปคุยมาแล้วก็ขอนัดดูห้องวันพรุ่งนี้เลย เค้าก็ตอบตกลง เอ้า กลายเป็นว่าอยู่ดีๆปุบปับๆมีห้องใหม่มาปาดหน้าห้องเก่าไปเฉยๆ ทั้งๆที่ตอบตกลงห้องเก่าไปแล้วแท้ๆ แล้วก็ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์ๆไม่มีห้องอื่นที่น่าสนใจลงโฆษณาเลยแท้ๆด้วย เหมือนกับพระเจ้าเพิ่งสังเกตเห็นว่าเรากำลังจะตกลงเช่าห้องที่เดินทางลำบากแล้วก็เลยรีบเสยห้องใหม่มาให้พร้อมกับบอกว่าหยุด!! เอาห้องนี้ไปดีกว่า ยังไงยังงั้น

ภาพจากเมือง Immenstadt ที่ห้องที่ไปดูตอนวันที่สองตั้งอยู่

ตอนเช้าวันต่อมาเราส่งอีเมลล์ไปบอกบริษัทนายหน้าว่าพอดีเมื่อวานเจอห้องอีกห้องมา ขอไปดูห้องนั้นก่อนแล้วจะตัดสินใจอีกที แล้วก็เดินทางไปดูห้องใหม่ตามนัด ห้องใหม่นี้เป็นห้องอพาร์ตเมนท์ที่ชั้นใต้หลังคาของบ้านหลังหนึ่งที่เจ้าของบ้านอาศัยอยู่ที่ชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ส่วนชั้นสามกับชั้นสี่ซึ่งเป็นชั้นใต้หลังคานั้นถูกปล่อยเช่า ตัวห้องถูกแบ่งเป็นห้องนอน ห้องน้ำ แล้วก็อีกห้องที่รวมห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว กับห้องครัวไว้ด้วยกัน ซึ่งห้องนั้นก็มีหน้าต่างขนาดใหญ่ที่มองออกไปเห็นวิวอลังการไกลไปถึงเทือกเขาแอลป์ที่อยู่ไกลๆเหมือนกันด้วย ในเรื่องของวิวนั้นห้องนี้สู้ห้องเมื่อวานไม่ได้เพราะห้องเมื่อวานมันอยู่ใกล้ภูเขากว่ามากแถมยังมีระเบียงให้ออกไปนั่งตากอากาศชมวิวได้ด้วย แล้วข้อเสียอีกอย่างของห้องนี้ก็คือด้วยความที่มันเป็นห้องใต้หลังหา เพดานบางส่วนมันก็จะลาดเอียง ทำให้แอบดูแคบๆแล้วก็เสียพื้นที่ใช้สอยไปประมาณนึง แต่ว่าสิ่งที่ดีคือห้องนี้มีห้องนอนแยกต่างหาก แล้วก็มีครัวที่มีอุปกรณ์ต่างๆครบครันแถมมีที่ดูดควันด้วย และสิ่งที่ดีกว่าห้องเมื่อวานแบบกินขาดเลยก็คือความที่มันอยู่ในเมือง อยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกกว่า และเดินทางด้วยขนส่งมวลชนสะดวกกว่านี่แหละ นอกจากนี้เจ้าของห้องที่อาศัยอยู่ที่ชั้นล่างของบ้านก็ยังใจดีมาก พาเราเข้าห้องเค้าไปดื่มน้ำชวนคุย แถมยังให้ยืมจักรยานไปขี่เล่นตอนหลังดูห้องเสร็จอีก เค้าบอกว่าก่อนหน้านี้เค้าเคยให้เด็กฝึกงานของบริษัท Bosch มาเช่าห้องนี้เหมือนกันด้วย แล้วก็บอกว่ามีคนรู้จักหลายคนทำงานที่ Bosch แถมยังบอกว่าเค้าได้ข้อความจากคนที่สนใจห้องนี้มาเยอะมาก แต่เค้าอ่านข้อความของเราแล้วรู้สึกโอเคสุดเลยตกลงเชิญมาดูห้อง พอดูห้องเสร็จเราก็เลยตกลงเช่าเลย แล้วเจ้าของก็ตกลงให้เช่าเหมือนกัน เป็นอันเรียบร้อย แต่มีแอบแปลกใจนิดนึงตรงที่เค้าไม่เขียนสัญญาเช่าให้ คืออารมณ์แบบคนกันเองจริงๆ ตกลงเช่าแบบปากเปล่าไปเลยอะไรอย่างนั้น ค่ามัดจำก็ไม่เก็บ ใจนึงก็แอบกลัวว่าจะมีปัญหาในอนาคตรึเปล่า แต่อีกใจนึงก็แบบ เออก็ดีนะง่ายๆสบายๆดี แต่สรุปก็คือตกลงเช่าห้องนี้แหละ แล้วก็ส่งอีเมลล์ไปยกเลิกห้องที่ไปดูเมื่อวาน ก็สรุปว่าตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไปก็จะเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ที่เยอรมนีที่เราจะได้มีห้องเช่าที่อยู่คนเดียว ไม่ต้องแชร์ห้องน้ำห้องครัวกับใครซักทีนะ แล้วก็จะเป็นห้องเช่าห้องแรกที่จ่ายค่าเช่าด้วยเงินเดือนของเราเองด้วย ภูมิใจเบาๆและตื่นเต้นมากๆ ณ จุดที่กำลังพิมพ์อยู่นี้เป็นวันสุดท้ายที่เราอาศัยอยู่ที่เมือง Karlsruhe ก่อนจะเดินทางย้ายไปอยู่ห้องๆนี้ในวันพรุ่งนี้แล้ว สองสัปดาห์หลังจากที่ย้ายเข้าเราจะยังว่างอยู่ แต่ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมเป็นต้นไปเราจะเริ่มฝึกงานกับบริษัท Bosch แล้ว ตื่นเต้นมาก อยากจะทำให้ดีให้เค้าประทับใจ เผื่อเค้าจะได้รับเราเข้าทำธีสิสต่อและรับเข้าทำงานต่อไป ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีด้วยเถอะ แล้วเดี๋ยวเป็นยังไงแล้วเดี๋ยวจะกลับมาเขียนเล่าต่อในตอนหน้าโนะ

ภาพจากชนบทแถวๆนั้นที่ถ่ายมาระหว่างที่ขี่จักรยานเล่น

Lake Misurina & Tre Cime di Lavaredo & ลาแล้วอิตาลี

ระหว่างที่เราอาศัยอยู่ที่เวนิส มีอยู่วันนึงเราได้ไปเที่ยวที่สถานที่ที่เราเคยฝันไว้ตั้งแต่ก่อนจะมาเรียนที่เยอรมันแล้วว่าอยากจะมาเยือนให้ได้ซักวันหนึ่ง สถานที่นั้นก็คือทะเลสาบ Misurina ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีในเทือกเขาแอลป์ส่วนที่มีชื่อว่า Dolimites ซึ่งบริเวณเทือกเขา Dolomites นี้ก็เป็นอีกหนึ่งในบริเวณที่เราอยากมาเที่ยวนานแล้วเหมือนกัน ตอนที่รู้ว่าจะได้มาแลกเปลี่ยนที่กรุงโรมไม่ได้มีความคิดเลยว่าจะมาเที่ยวที่นี่เพราะว่ามันอยู่ไกลจากกรุงโรมมาก แต่พอได้มาอยู่ที่เวนิสแล้วก็เลยลองคิดเล่นๆขึ้นมาว่า Dolomites ก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง ไปเที่ยวที่ไหนซักที่ดีมั้ย จริงๆแล้วเทือกเขา Dolomites นี้ก็กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก และในบริเวณนั้นก็มีสถานที่หลายแห่งเลยที่เราลิสต์ไว้ว่าอยากไป แต่ด้วยความที่ทะเลสาบ Misurina นี้อยู่ไม่ไกลจากกรุงเวนิสมาก และก็เป็นสถานที่แรกๆของ Dolomites ที่เรารู้จักและเคยฝันว่าอยากมาพอดี ก็เลยตั้งใจว่าจะมุ่งเป้าไปแค่ที่นี่เป็นหลัก พอคิดได้ดังนั้นก็ลองเข้ากูเกิล เข้าเว็บสำหรับเช็คการเดินทางต่างๆเช่น Rome2rio กับ MoovIt ซึ่งพอเราใส่ต้นทางกับปลายทางลงไปในหน้าเว็บ มันก็จะเสนอเส้นทางมาให้ว่าสามารถไปได้ยังไงบ้าง แล้วก็จะบอกชื่อหน่วยงานที่บริหารเส้นทางเหล่านั้นด้วย เช่นบริษัทรถไฟ รถบัส ซึ่งเราก็สามารถเอาชื่อบริษัทเหล่านั้นไปเสิร์ชกูเกิลเพื่อเข้าเว็บหลักเพื่อเช็ครอบรถเพื่อความถูกต้องได้อีกที ตอนที่เราเช็ครอบรถตอนแรกนั้น เจอว่ามันไม่มีรอบรถที่สามารถไปเช้าเย็นกลับได้เลย ต้องค้างคืน ก็เลยอดไป แต่อยู่มาคืนหนึ่ง อากาศในเวนิสร้อนมาก และแอร์ในอพาร์ตเมนท์ของเราก็ไม่เย็น ทำให้นอนไม่หลับเลย ตื่นมาตอนกลางดึกแล้วก็กระสับกระส่ายไปมา หงุดหงิดมาก แต่อยู่ดีๆก็เกิดนึกลองเช็ครอบรถไปทะเลสาบ Misurina อีกที คราวนี้ลองเลือกเส้นทางที่มันอ้อมหน่อยๆ ปรากฏว่าแจ๊คพอต! รอบรถลงตัว ไปเช้าเย็นกลับได้! แถมยังราคาถูกกว่าเส้นทางอีกเส้นที่ต้องค้างคืนอีก!! พอเจอแบบนั้นก็เลยแต่งเนื้อแต่งตัว เก็บกระเป๋าเดินไปขึ้นรถไปออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดเลย เส้นทางหลักที่เราดูไว้ตอนแรกคือนั่งรถบัสเอกชนจากเวนิสไปลงเมือง Cortina d’Ampezzo แล้วก็นั่งรถบัสท้องถิ่นต่อไปยังตัวทะเลสาบ แต่ว่าเส้นทางที่เจอเมื่อคืนที่เวลาลงตัวกว่าคือนั่งรถไฟจากเวนิสไปลงสถานี Calalzo – Pieve Cadore – Cortina แล้วก็นั่งรถบัสท้องถิ่นต่อไปยังตัวทะเลสาบ ส่วนขากลับก็คือทวนเส้นทางแบบเดียวกับขามา

ระหว่างทางที่นั่งรถไฟนั้น ช่วงแรกๆก็จะวิ่งผ่านที่ราบปกติ แต่พอเริ่มวิ่งเข้าโซนภูเขาแล้วคือสวยบาดตาบาดใจ ทั้งทะเลสาบ ทั้งหมู่บ้าน ทั้งภูเขา สวยไปหมด สิ่งที่เราชอบมากๆเกี่ยวกับโซนเทือกเขา Dolomites นี้ก็คือมันจะมีเทือกเขาที่ยอดจะแหลมๆซิกแซกๆเป็นแฉกๆเยอะมากๆ ซึ่งสวยแปลกตามากและไม่ค่อยมีในให้เห็นในเทือกเขาแอลป์โซนอื่นๆจากที่เคยเห็นรูปมาจากแหล่งต่างๆ วิวจากรถไฟว่าสวยแล้ว วิวระหว่างที่นั่งรถบัสจากสถานี Calalzo – Pieve Cadore – Cortina ไปตัวทะเลสาบนี่ยิ่งสวยยิ่งกว่า โดยเฉพาะตั้งแต่เมือง Santa Caterina ไปนี่ เราจะเห็นทะเลสาบบนเขื่อนที่น้ำสีฟ้าจัดๆ ตัดกับฉากหลังที่เป็นภูเขาเต็มไปด้วยต้นสนสีเขียว กับหมู่บ้านสวยๆ ที่บ้านเป็นไม้สไตล์เหมือนบ้านในสวิตเซอร์แลนด์ สวยเหมือนในเทพนิยาย! หลังจากนั้นรอบข้างก็จะเป็นป่าสนหนาแน่น กับเทือกเขาสูง ถนนจะเริ่มตัดซิกแซกเลี้ยวไปมาขึ้นเขา ด้วยความที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน เราเลยหลับไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เห็นวิวช่วงหลังเลย แต่พอใกล้ๆถึงทะเลสาบก็ตื่นมาอีกรอบ มาลงรถที่ป้ายที่อยู่หน้าโรงแรม Grand Hotel Misurina – Blu Hotels ซึ่งตรงนั้นถ้ามองไปยังทะเลสาบ จะเห็นวิวมหาชนที่เป็นทะเลสาบแล้วก็มีตึกอะไรซักอย่างสี่เหลี่ยมตั้งอยู่อีกฝั่ง แล้วฉากหลังก็เป็นเทือกเขาใหญ่สีขาวๆ สวยเหมือนสวรรค์ไปเลย สวยเหมือนภาพของทะเลสาบนี้ที่เราเห็นเป็นครั้งแรกใน Google Street View สมัยเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วเลย จากตรงนั้นเราก็เดินวนลงไปทางทิศใต้ แล้วก็วนต่อจนครบรอบทะเลสาบ แล้วก็ถ่ายรูปรัวๆ จะเดินไปตรงไหน ถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมดจริงๆ มันเหมือนได้ผ่อนคลาย ได้เสพย์ธรรมชาติสวยๆ ได้ตากอากาศ สูดอากาศบริสุทธิ์ เอ้อพูดถึงอากาศบริสุทธิ์แล้วนึกขึ้นได้ว่า ตึกสี่เหลี่ยมที่เห็นอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบมันคือโรงพยาบาลสำหรับเด็กที่เป็นโรคหอบหืด ซึ่งเหตุผลที่เค้าให้มาตั้งอยู่ตรงทะเลสาบนี้ก็เพราะว่าอากาศมันบริสุทธิ์มากๆ เหมาะสำหรับให้คนไข้โรคหอบหืดมารักษาตัวนั่นเอง

หลังจากเดินครบแล้ว เวลายังพอมีอยู่ เราเลยเดินไปตรงป้ายรถบัสอีกป้ายที่อยู่ถัดจากทะเลสาบไปทางเหนือนิดหน่อย อยู่ใกล้ๆกับภัตตาคารชื่อ Genzianella ซึ่งจากป้ายนี้เราสามารถขึ้นรถบัสขึ้นเขาไปต่อเพื่อไปยัง Tre Cime di Lavaredo ได้ ที่ขายตั๋วก็จะเป็นเพิงไม้เล็กๆตั้งอยู่ตรงป้ายรถเลย ส่วน Tre Cime di Lavaredo นี้ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอีกแห่งในเทือกเขา Dolomites ที่เป็นภูเขาลูกแหลมๆขนาดใหญ่สามลูกตั้งอยู่ติดกัน สวยแปลกตาและยิ่งใหญ่อลังการมาก อันนี้ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะมา แต่พอเจอว่ามันอยู่ใกล้กัน และพอทำเวลาที่ตัวทะเลสาบได้ดี เราเลยตัดสินใจนั่งรถบัสขึ้นไปเที่ยวตรงนี้ด้วย ซึ่งพอขึ้นไปถึงตรงจุดบนเขานั้น อากาศก็จะเย็นขึ้นทันทีเลย แล้วก็จะเห็นวิวของเทือกเขา Dolomites ที่สวยงามอลังการ แต่จะไม่เห็นเขา Tre Cime di Lavaredo ครบทั้งสามลูก ถ้าอยากเห็นครบทั้งสามลูก ต้องเดินเขาขึ้นไปทางทิศเหนือไปอีกค่อนข้างไกล จากจุดลงรถบัสเราสามารถเดินเขาต่อไปได้หลายเส้นทาง เราเลือกเดินเส้นทางที่ลงมาทางใต้ เดินตามเขามาเรื่อยๆจนสุดท้ายจะมาถึงจุดชมวิวเทือกเขาที่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร แต่ยอดมันจะแหลมๆซิกแซกเป็นแฉกๆเยอะมากๆ ซึ่งนี่แหละเป็นสิ่งที่เราอยากมาเห็นที่ Dolomites พอได้มาเห็นแบบเต็มๆตาแบบนี้แล้วฟินมาก

ตรงจุดปลายเส้นทางเดินเขามันจะมีทางแยกเล็กๆสั้นๆที่อยู่บนสันปันน้ำของเขาลูกเล็กๆลูกหนึ่ง ตรงปลายจะเป็นกลมๆเหมือนเป็นเวทีธรรมชาติให้คนไปยืนถ่ายรูปกับวิวเทือกเขาซิกแซกๆตรงฉากหลังได้ ซึ่งรูปถ่ายจากตรงนี้น่าจะปังมาก แต่ว่าเราไม่กล้าเดินไป เพราะว่าซ้ายขวาของทางเส้นนั้นเป็นเนินลาดชัน ถ้าก้าวพลาด ลื่นตกล่ะก็ ไม่อยากจะนึกสภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เลยถ่ายรูปจากไกลๆพอ แล้วก็เดินกลับไปยังจุดขึ้นรถ รวมเวลาเดินขาไปขากลับใช้เวลาสองชั่วโมงกว่า

จากป้ายรถตรง Tre Cime di Lavaredo เราก็นั่งรถกลับลงมาที่ตัวทะเลสาบ Misurina แล้วก็ลงรถที่ป้ายเดียวกันกับที่ขึ้นมา แล้วก็เดินย้อนกลับไปยังป้ายรถที่หน้าโรงแรม Grand Hotel Misurina – Blu Hotels เดินไปซื้อตั๋วรถบัสที่ด้านในซุปเปอร์มาร์เก็ตชื่อ Despar ตรงชั้นล่างของโรงแรม แล้วก็มารอขึ้นรถบัสกลับ แล้วก็ขึ้นรถกลับยาวๆกลับไปยังเวนิส ไปถึงเวนิสตอนดึกพอดี ใช้เวลาบนรถบัสกับรถไฟเยอะมากๆทริปนี้ แต่ก็คุ้มค่ากับความสวยและการได้พักผ่อน ดื่มด่ำกับธรรมชาติสวยๆและสูดอากาศกับบริสุทธิ์ แต่ถ้าขับรถมาเองจะประหยัดเวลาไปเยอะกว่าและสะดวกกว่ามากๆ

เอาล่ะ โพสต์นี้ก็คงจะเป็นโพสต์สุดท้ายของเรื่องราวในประเทศอิตาลีของเราแล้ว งานเลี้ยงย่อมต้องมีเลิกรา หลังจากที่ได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอิตาลีนานถึงห้าเดือน ในที่สุด ตอนสิ้นเดือนสิงหาคมเราก็ขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับมายังประเทศเยอรมนีอีกครั้ง ความรู้สึกที่ได้กลับมานั้นจะเรียกว่าเหมือนกลับบ้านมั้ยก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะตอนนี้เรารู้สึกว่าอิตาลีก็เหมือนกลายเป็นบ้านของเราอีกหลังแล้วเหมือนกัน ประสบการณ์ต่างๆ ผู้คนที่น่ารัก อาหารอร่อยๆ บ้านเมืองสวยๆ ที่เที่ยวอลังการที่ได้ไปสัมผัสมา ทำให้จากที่ชอบประเทศนี้อยู่แล้ว กลายเป็นยิ่งตกหลุมรักประเทศนี้ขึ้นไปอีก ถ้าถามว่าอยากกลับมาอาศัยอยู่ที่นี่อีกมั้ยก็อยากนะ และถ้าให้ดีก็คืออยากให้ตอนกลับมาอีกที พูดภาษาอิตาลีคล่องแล้วด้วย 55 ช่วงเวลาห้าเดือนที่ผ่านมานี้ เรารู้สึกว่าโชคดีตรงที่หนึ่ง เราสอบเก็บวิชาป.โทมาเกือบหมดแล้วตั้งแต่ตอนอยู่เยอรมัน ทำให้เหลือวิชาที่ต้องสอบจริงจังที่อิตาลีนี้แค่สองวิชา ทำให้เวลาที่ต้องเรียนหนังสือน้อยมาก เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการดื่มด่ำกับชีวิตแบบชาวอิตาเลียนกับไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ (จริงๆใช้เวลาหมดไปกับการหางานกับเขียนจดหมายสมัครงานเยอะเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่ได้เครียดเหมือนกับการเรียนหนังสือ) อีกสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าโชคดีก็คือเพราะว่าที่อิตาลี มหาวิทยาลัยปิดเทอมเร็วกว่าที่เยอรมันมาก ทำให้เทอมนี้เรามีเวลาปิดเทอมแบบที่ไม่ต้องสอบ ไม่มีภาระอะไรต้องทำเลย นานถึงกว่าสามเดือน! คือหนึ่งในสี่ของปีไปแล้ว มองย้อนกลับไป ความรู้สึกของเราคือเหมือนกับว่าเทอมนี้ทั้งเทอมเป็นการไปเที่ยวอิตาลียาวๆห้าเดือนมากกว่า ความรู้สึกคือส่วนที่เรียนหนังสือจริงๆมีนิดเดียว แล้วก็แทบจะหายไปจากความทรงจำหมดแล้วด้วย 5555 เอาเป็นว่าเหมือนเทอมนี้จิตใจได้พักผ่อนและได้เปิดหูเปิดตารับสิ่งใหม่ๆไปในเวลาเดียวกันอย่างเต็มที่ ชาร์จแบตอย่างเต็มเอี่ยมพร้อมที่จะพุ่งชนเทอมหน้าที่จะมาถึงอย่างเต็มสูบ เทอมหน้าที่เยอรมนีนี้เดี๋ยวชีวิตคงจะกลับไปอยู่ในโหมตจริงจังแบบเต็มที่อีกครั้งแล้ว ดีไม่ดีอาจจะเป็นโหมตเครียดสมองแตกด้วย เพราะว่าเทอมหน้านี้ ถ้าไม่ฝึกงาน ก็ต้องทำธีสิสจบแล้ว แล้วแต่ว่าจะหาอะไรได้ ระหว่างนี้เราก็สมัครหาที่ฝึกงานกับที่ทำธีสิสตามบริษัทต่างๆไปทั่วเลย แล้วค่อยไปรอดูอีกทีว่าจะได้ที่ไหน จริงๆคณะเราไม่ได้บังคับให้ฝึกงาน แต่เราอยากหาฝึกเองเพราะว่าเราไม่เคยฝึกงานเลย เพราะตอนป.ตรี มหาลัยก็ไม่ได้บังคับฝึกงาน ตอนนั้นเราดีใจว่ามหาลัยไม่บังคับฝึกงาน จะได้เรียนจบเร็วๆ แต่ตอนนี้แอบเสียดายเพราะว่าพอไม่เคยฝึกงาน ไม่มีประสบการณ์ทำงานเฉพาะทาง โอกาศที่จะหางานได้ก็ต่ำลงไป ตอนนี้เลยอยากจะหาฝึกงานเอง และเหตุผลอีกอย่างก็คืออยากได้เงิน 5555 เพราะช่วงที่อยู่อิตาลีนี้ก็ใช้เงินไปเยอะมาก ถึงจะมีเงินทุนการศึกษาของโครงการแลกเปลี่ยนมาช่วยแล้วก็ยังใช้เงินเกินงบปกติไปมากโข 55555 ถ้าเราทำธีสิสที่มหาลัย เราก็ไม่ได้ค่าจ้าง แต่ถ้าหาที่ฝึกงานหรือที่ทำธีสิสที่บริษัทข้างนอกได้เราก็จะได้ค่าจ้าง ชีวิตก็จะได้สบายขึ้นหน่อย และเหตุผลสุดท้ายที่เราอยากฝึกงานก็เพราะว่าเราคิดว่าหลังฝึกงานแล้วอาจจะหาลู่ทางขอทำธีสิสที่บริษัทต่อ แล้วหลังจากนั้นก็หาลู่ทางเข้าทำงานที่บริษัทนั้นต่อได้ง่ายกว่าไปหางานหลังเรียนจบ และเราคิดว่าการหาที่ฝึกงานน่าจะง่ายกว่าการหาที่ทำงานจริงๆ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ณ จุดนี้ก็ร่อนใบสมัครงานไปกว่าสามสิบที่เข้าไปได้แล้วนะ และได้รับคำเชิญให้ไปสัมภาษณ์แค่สี่ห้าที่เท่านั้นเอง นอกนั้นคือปฏิเสธๆๆมาหมดเลย และที่ไปสัมภาษณ์มาก็ปฏิเสธๆๆมาหมดเหมือนกัน บางที่ที่ไปสัมภาณ์คืออยากได้มาก และก็มีความรู้สึกว่าตอนสัมภาษณ์เราก็ทำได้โอเคอยู่นะ แต่พอผลออกปรากฏว่าไม่ได้ซะงั้น จริงๆบางทีมันคงขึ้นอยู่กับว่าคนอื่นที่เค้าสัมภาษณ์เค้าทำได้ดีกว่าเรามั้ยอย่างเดียวเลยแหละ แต่สมัครงานหลายๆที่ สัมภาษณ์หลายๆที่ก็เหนื่อยและแอบท้อเหมือนกัน เดี๋ยวคงจะต้องเริ่มติดต่อหาหัวข้อทำธีสิสที่มหาลัยแล้ว เผื่อไว้ในกรณีที่หาที่ฝึกงานบริษัทข้างนอกไม่ได้เลย เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะเป็นยังไงต่อก็เอาไว้มาติดตามกันต่อไป สำหรับตอนนี้ก็ขอปิดท้ายซีรีย์ของโพสต์ของเรื่องราวชีวิตช่วงที่เราไปเที่ยว เอ้ยไปเรียนและอาศัยที่ประเทศอิตาลีมาตลอดห้าเดือนที่ผ่านมานี้ที่ตรงนี้ก่อน หวังว่าในวันหน้าจะได้กลับมาเยือนประเทศนี้อีกบ่อยๆ ไม่ว่าจะเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อทำงาน หรือเพื่ออาศัยอยู่ก็ตามนะ

อพยพไปเวนิส

ตอนใกล้จะจบเทอมแลกเปลี่ยน ตอนแรกเราก็ตั้งใจว่าพอจบแล้วจะกลับไปอยู่เมืองมหาลัยที่เยอรมัน แต่วันนึงคุยกับเพื่อนคนนึงที่กำลังไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศอื่นอยู่เหมือนกันเค้าบอกว่าเค้าจะอยู่ที่นั่นต่อไปอีกจนกว่าเทอมใหม่ที่เยอรมันจะเริ่มถึงค่อยกลับ เลยนึกขึ้นได้ว่าจริงด้วยเนอะ ถึงกลับเยอรมันไปตอนนี้ก็ว่างอยู่ดี แต่ทำไมจะต้องอยู่ที่กรุงโรมต่อ ในเมื่อมีโอกาสแล้วก็หาเช่าห้องเดือนต่อไปที่เมืองอื่นไปเลยสิจ๊ะ ตอนแรกคิดว่าจะไปประเทศอื่นเลยด้วยซ้ำ แต่คิดไปคิดมา อยู่ที่อิตาลีต่อดีกว่า ปัญหาน้อยดี เลยลองไปกด join กรุ๊ปเฟสบุ๊คสำหรับหาบ้านในเมืองต่างๆในอิตาลีดูว่ามีใครลงประกาศอะไรไว้บ้าง ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะไปเมืองไหนดี แต่ไปอยู่ตั้งเดือนนึงก็คงต้องเป็นเมืองใหญ่หรือมีอะไรให้ดูเยอะหน่อยจะได้ไม่น่าเบื่อ ซึ่งเวนิสก็ยืนหนึ่งเพราะความดัง และเพราะเป็นเมืองที่เราเคยไปมาแล้วประทับใจมาก ด้วยความโชคดีก็ได้ห้องในอพาร์ตเมนท์ติดสถานีรถไฟเวนิสมาด้วยราคาถูกมาก คือแค่เดือนละประมาณหนึ่งหมื่นสองพันบาท ราคาถูกกว่าค่าห้องที่เคยอยู่ในเยอรมันหลายๆห้องเลย ห้องเล็กมากและไม่มีโต๊ะอ่านหนังสือแต่ก็รับได้ แต่ที่รับไม่ค่อยได้คือแฟลตเมทสองคน เพราะว่าคนนึงไม่เชื่อว่าโควิดร้ายแรงขนาดที่ทำให้คนตายได้และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายเดือนนั้นเป็นเรื่องโกหกที่นักการเมือง หมอ นักวิทยาศาสตร์ และสื่อต่างๆรวมหัวกันสร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมประชากร ซึ่งมีบิล เกตส์บงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด -.,- ส่วนอีกคนก็เชื่อว่าโควิดเป็นไวรัสที่นักการเมืองจงใจสร้างขึ้นมาและจงใจปล่อยให้ระบาดไปทั่วโลกเพื่อลดจำนวนประชากรโลก -,.- และทั้งสองคนยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ฉีดวัคซีนแน่นอน เพราะฉีดแล้วจะเป็นหมัน ฉีดแล้วจะทำให้เชื้อกลายพันธุ์ ฉีดแล้วจะมีไมโครชิพมาฝังในตัวทำให้รัฐบาลสอดแนมได้ ฯลฯ โอ๊ยยย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนที่คิดหลุดโลกไปได้ขนาดนั้นจริงๆ แถมบางทียังมีพูดแซะเราเบาๆเพราะว่าเราฉีดวัคซีนไปแล้วอีก ตอนแรกก็พยายามเถียงแต่ว่าเหนื่อยใจมาก ยิ่งเถียงยิ่งสุขภาพจิตเสีย ตอนหลังเลยแกล้งๆทำเป็นคล้อยตาม ยังไงก็อยู่ด้วยกันแค่เดือนเดียวอยู่แล้ว

แต่ตัดเรื่องแฟลตเมตออกไป ชีวิตความเป็นอยู่ในเวนิสก็คือดีงามตามท้องเรื่อง เทียบกับโรมแล้วที่นี่รู้สึกว่านักท่องเที่ยวเยอะกว่ามาก เพราะมันเล็กกว่า แต่ว่าถ้าเดินออกจากถนนสายหลักไปก็มีหลายโซนมากๆที่สวยและแทบไม่มีคนเลย คือจะเดินไปไหนก็สวยไปหมด เหมือนหลุดไปอยู่ในโลกแฟนตาซี วันไหนว่างๆก็เดินเข้าไปในเมืองสุ่มๆเดินไปตามตรอกแคบๆที่แทรกซอนไประหว่างบ้านโบราณสวยๆ ข้ามสะพานข้ามคลองเล็กคลองน้อยมากมาย เดินหลงดูสิ่งต่างๆไปเรื่อยๆแล้วพอจะกลับบ้านก็ค่อยเปิด Google maps ดูทางเอา บางทีก็ออกไปเดินเล่นตอนดึกๆที่ไม่มีคนและเงียบมากจนเหมือนเดินอยู่ในเมืองร้าง สงบมากๆ แต่ช่วงหลังๆก็แอบเบื่อๆเพราะเมืองก็แอบเล็ก แล้วก็เพราะไม่รู้จักใครในเมืองนี้เลยด้วยนอกจากแฟลตเมตที่ไม่เชื่อเรื่องโควิด เลยมีแอบเหงาๆนิดหน่อย เห็นชาวเมืองออกมากินดื่มตามผับบาร์กันคึกคักแล้วก็อยากให้เพื่อนๆที่ไทยมาเยี่ยม จะได้ไปเที่ยวกัน (แต่ในความเป็นจริงกว่าคนที่ไทยจะออกไปเที่ยวต่างประเทศได้ไม่รู้จะอีกนานเท่าไหร่)

ความประทับใจของเราต่อเมืองเวนิส นอกจากบ้านเมืองที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์มาก และลำคลองเล็กๆและเรือกอนโดลาที่มีอยู่ทั่วไปนั้น สิ่งแรกเลยที่ประทับใจมากๆก็คือสปาเกตตี้ซอสหมึกดำที่มีชื่อในภาษาอิตาเลียนว่า Spaghetti Nero di Seppia ซึ่งเมนูนี้ตั้งแต่อยู่อิตาลีมาก็เพิ่งเคยเห็นที่เมืองเวนิสเป็นที่แรกนี่แหละ อาจจะเป็นเมนูประจำท้องถิ่นที่มีให้กินแค่แถบนี้ก็เป็นได้ ไปอ่านในเน็ตมาว่าในน้ำหมึกดำๆที่เอามาจากปลาหมึกธรรมชาตินี้จะมีสารกลูตาเมตที่เป็นสารเดียวกันกับผงชูรส ทำให้รสชาติอร่อย ซึ่งมันก็อร่อยมากจริงๆ จะบอกว่ารสอูมามิมั้ยก็ไม่รู้เพราะไม่รู้เหมือนกันว่ารสอูมามิเป็นยังไง แต่ว่าอร่อยมากๆ อธิบายได้แค่ว่ารสชาติเหมือนทะเล ไม่ใช่เหมือนน้ำทะเลนะ แต่ตอนที่กิน ถ้าหลับตาจินตนาการแล้วจะเห็นภาพของทะเล กลิ่นเค็มๆของเกลือในอากาศ และอาหารทะเลเลิศรสทั้งหลาย เวอร์ไปมั้ย แต่รู้สึกอย่างนี้จริงๆนะ 55555 เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสได้มาเวนิส ต้องมากินเมนูนี้ ห้ามพลาด หรือถ้าสั่งแบบเป็นสปาเกตตี้อาหารทะเล แต่ขอให้เค้าใส่ซอสดำนี้มาให้ด้วยได้ก็จะยิ่งฟินมากขึ้นไปอีกร้อยเท่า พูดแล้วอยากกินอีก แต่เสียดาย เพราะอย่างที่บอกว่าหากินที่อื่นไม่ได้เลย

ความประทับใจถัดมาคืออาหารว่างสไตล์ชาวเมืองเวนิส ที่ภาษาอิตาเลียนเรียกว่า Cicchetti ซึ่งมันจะเป็นขนมปังแผ่นกลมๆเล็กๆหนาๆ และด้านบนก็จะโปะหน้าด้วยวัตถุดิบต่างๆ มีหน้าให้เลือกกินเยอะแยะมากเลือกไม่ถูก ต้องไปลองสุ่มๆมั่วๆดูหรือขอให้เค้าแนะนำให้ดู ปกติแล้วเค้าก็จะกินแกล้มกับเครื่องดื่มกัน ซึ่งอาจจะเป็นไวน์, Prosecco หรือ Aperol Spritz พูดถึงเครื่องดื่มในเวนิสแล้วก็จะไม่พูดถึง Prosecco หรือ Aperol Spritz ไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมมากในเมืองเวนิสและพื้นที่แถบรอบๆนั้นของประเทศอิตาลี Prosecco ก็จะคล้ายๆไวน์ขาว หวานๆ แต่จะซ่าๆ ส่วน Aperol Spritz ก็จะเป็น Prosecco ผสมกับ Aperol ที่เป็นน้ำหวานๆ จะเป็นน้ำสีส้ม รสชาติหวานและซ่า อร่อยมากๆ และ Aperol Spritz นี้ก็มีต้นกำเนิดมาจากเมืองเวนิสนี้ด้วย จะเป็นที่นิยมดื่มกันมาก ตอนกลางคืนถ้าเดินผ่านร้านกินดื่มร้านไหนจะเห็นแก้วดริงค์สีส้มๆนี้เต็มมมไปหมด จากที่เดินๆมา รู้สึกว่าย่านในเวนิสที่วัยรุ่นจะไปแฮงก์เอาท์ตอนดึกๆกันจะอยู่ที่จัตุรัส Campo Santa Mergherita ซึ่งร้านแถวๆนี้จะราคาถูกเป็นพิเศษ แล้วก็มีร้านพิซซ่าร้านนึงที่อร่อยมากๆ ยังอร่อยไม่เท่าพิซซ่าที่เมืองเนเปิลส์ แต่ก็อร่อยใช้ได้เลย แถมยังราคาถูกมากๆ ชื่อร้าน Pizza al Volo

ความประทับใจอย่างสุดท้าย คือรวมมิตรทะเลทอดที่ร้าน Fried Land (มีแต่เรื่องอาหาร) ซึ่งเป็นกุ้ง ปลาหมึก และปลาอะไรซักอย่างที่ตัวเล็กๆชุบแป้งทอดกรอบ กินสดๆร้อนๆ บีบเลมอนใส่ อร่อยมากๆ นอกจากเมนูทะเลทอดนี้แล้วร้านนี้ยังทำเมนูสปาเกตตี้ราคาถูกสำหรับใส่กล่องถือเดินกินอีกด้วย เราลองมาแค่เมนูเดียวคือ Spaghetti Nero di Seppia นี่แหละ มันจะเป็นสปาเกตตี้ใส่เนื้อปลาหมึกและซอสหมึกดำ ก่อนหน้านี้เราไปลองมาอีกร้านที่ชื่อ Dal Moro’s แต่เราว่าไม่อร่อย แต่เราว่าของร้าน Fried Land อร่อย แต่ถ้าให้อร่อยสุดน่าจะต้องกินที่ร้านอาหารเลย ร้านที่เราไปกินเมนูที่มีซอสหมึกดำนี้มาคือร้าน La Piazza กับร้าน Due Colonne ซึ่งอร่อยทั้งสองร้านเลย แต่ว่าร้าน La Piazza แพงหูฉี่มาก ค่าบริการก็แพงมากเช่นกัน แต่ว่าก็อร่อยมากๆ แล้วก็มี Prosecco ฟรีมาให้แก้วนึงด้วย ร้าน La Piazza นี้เป็นร้านที่เราขอสั่งเป็นสปาเกตตี้อาหารทะเลที่ใส่ซอสหมึกมาด้วย ซึ่งแบบนี้จะไม่มีอยู่ในเมนู แต่ว่าเค้าก็ใส่ซอสหมึกมาให้และคิดราคาเท่าเดิมด้วย คือราคาเท่ากับเมนูสปาเกตตี้อาหารทะเลธรรมดา

ในส่วนของสถานที่ท่องเที่ยว เราไม่ได้ไปเข้าชมอะไรเท่าไหร่ แค่เดินเข้าโบสถ์ที่เข้าฟรี (ที่นี่บางโบสถ์เก็บค่าเข้าชม) แล้วก็ตอนที่มาเที่ยวเวนิสรอบที่แล้วเราซื้อทัวร์เข้าชมวัง Doge’s Palace มา ซึ่งรู้สึกว่าคุ้มเงินเพราะด้านในสวยมาก นอกจากนั้นก็มีอีกที่เที่ยวที่แปลกดี คือร้านหนังสือชื่อ Libreria Acqua Alta ที่โดนน้ำท่วมบ่อยมากจนเค้าเอาหนังสือที่โดนน้ำท่วมมากองรวมๆกันตรงด้านหลังร้านเป็นกองใหญ่มากให้คนมาปีนถ่ายรูปเล่นกัน กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังเฉย เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ถ้าเราเดินไปหลังร้านฝั่งที่อยู่ติดคลอง เราจะเห็นประตูสำหรับลงเรือที่พอเปิดออกไปแล้วจะเป็นคลองเลย แล้วก็จะมีเก้าอี้ให้นั่งถ่ายรูปริมประตู วันที่เราไปน้ำในคลองแอบสูง แอบท่วมเข้ามาในร้านหน่อยนึงแล้ว มองกองหนังสือต่างๆแล้วมองระดับน้ำแล้วนี่รู้สึกเสียวไส้มาก พูดถึงเรื่องน้ำท่วม มีอยู่คืนสองคืนเหมือนกันที่เราออกไปเดินเล่นในเมืองแล้วมันตรงกับวันที่น้ำทะเลหนุนสูงเป็นพิเศษพอดี ยิ่งเป็นช่วงกลางคืนที่เป็นเวลาน้ำขึ้นแล้ว น้ำยิ่งขึ้นสูงขึ้นไปอีก บางจุดคือน้ำคลองล้นขึ้นมาถึงทางเดินเลย บางจุดก็ไหลล้นออกจากท่อระบายน้ำขึ้นมาท่วมตามทางเดินในเมือง (เหม็นมาก) เห็นคนถอดรองเท้าเดินกันเป็นแถบ บางจุดเค้าก็เอาทางเดินมาตั้งให้คนเดินบนนั้นแทน รู้สึกตื่นตาตื่นใจมากที่ได้มาเห็นน้ำท่วมที่เวนิสกับตาตัวเอง ถึงจะท่วมแค่ปริ่มๆก็เถอะ แต่ก็ดีแล้ว ถ้ามาตรงกับช่วงที่น้ำท่วมหนักๆจริงๆชีวิตคงลำบากมาก ปกติแล้วช่วงปลายปีจะเป็นช่วงที่น้ำท่วมเวนิสบ่อยๆ ทุกวันนี้ก็มีการศึกษากันอยู่ว่าจะมีทางไหนที่จะป้องกันเมืองเวนิสจากการถูกน้ำท่วมได้บ้าง เพราะว่าภาวะโลกร้อนก็ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อยๆ แถมตัวเมืองเวนิสก็ค่อยๆจมลงเรื่อยๆไปตามกาลเวลาด้วย

ช่วงเดือนหลังๆมานี้เราพยายามส่งใบสมัครฝึกงานไปที่หลายบริษัทในเยอรมันมาก แต่โดนตอบปฏิเสธมาเยอะมากๆ จนถึงตอนนี้ส่งไปสามสิบกว่าที่แล้ว แต่โดนเชิญไปสัมภาษณ์แค่ห้าหกที่ แล้วก็ปฏิเสธๆมาหมด ช่วงหลังๆก็แอบมีอารมณ์ทอดถอนใจเหมือนกัน ทำไมถามเพื่อนคนไทยคนอื่นที่สมัครฝึกงานเค้าดูสมัครแค่ไม่กี่ที่ก็ได้แล้ว ทำไมพอเราหาเองแล้วมันยากจังเลย อาจจะเป็นเพราะโควิดด้วย หรืออาจจะเป็นเพราะคณะของเราไม่ได้บังคับฝึกงานด้วย บริษัทเลยเลือกจะรับคนที่มหาลัยบังคับฝึกงานมากกว่า แต่ว่าการต้องคอยหาตำแหน่งที่ว่างและน่าสนใจเรื่อยๆ เขียนจดหมายสมัครงานเยอะๆ และไปสัมภาษณ์เยอะๆแบบนี้ก็เหนื่อยใจเหมือนกันนะ พอยังไม่ได้ที่ฝึกงานซักที เลยยังไม่รู้ว่าพอหลังจากสิ้นเดือนสิงหาที่ต้องย้ายออกจากห้องที่เวนิสแล้วจะต้องไปอยู่ที่ไหนต่อ แต่สรุปก็ตัดสินใจเช่าห้องที่เมือง Karlsruhe ที่เคยอยู่ตอนเรียนป.ตรีไปก่อนเป็นระยะเวลาเดือนนึง แล้วเดี๋ยวในระหว่างช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่อาศัยที่ Karlsruhe นี้ค่อยไปรอดูเอาอีกทีว่าจะหาที่ฝึกงานได้มั้ย และจะได้ไปอยู่ที่ไหน ต้องติดตามกันต่อไป