เส้นทางชีวิตกว่าจะได้งาน

วันนี้แอบมีเวลาว่างเลยมาอัพบล็อกหน่อย พอเริ่มทำงานแล้วเวลาว่างไม่ค่อยมีเหมือนตอนเรียนละ แถมพอมีเงินแล้วว่างเมื่อไหร่ เอะอะจะหาเรื่องออกไปใช้เงินตลอด 555 ไม่ก็อยากอยู่เฉยๆเอื่อยๆที่บ้านแบบไม่ต้องทำไม่ต้องคิดอะไร จนถึงวันนี้เราก็เริ่มทำงานประจำงานแรกในชีวิตมาได้เป็นเวลาสี่เดือนกว่าๆละ วันนี้จะมาเขียนสรุปเล่าเส้นทางชีวิตการหางานในเยอรมันว่ากว่าจะมาได้งานในวันนี้ เราเดินคลำทางผิดๆถูกๆมายังไงบ้าง

Home office ณ ปัจจุบันนี้

ย้อนกลับไปยังตั้งแต่ตอนที่เราเรียนอยู่ม.ปลายที่ไทยเลยละกัน ตอนอยู่ม.ห้าจะมีวิชาเลือกวิชาหนึ่งที่ให้เราต่อหุ่นยนต์ ซึ่งตอนนั้นเราก็เลือกวิชานี้ด้วยความสนใจมาก แล้วก็แฮปปี้กับการต่อหุ่นยนต์ (หรือตอนนั้นเค้าเรียกกันว่าโรบอท) และทำโปรแกรมควมคุมอัตโนมัติมากด้วย ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเริ่มมีความสนใจคณะวิศวะสาย Mechatronics ซึ่งต่อมาก็ได้มาเรียนคณะนี้ที่เยอรมันจริงๆ แล้วก็ได้ต่อโรบอทอีกรอบ ซึ่งก็แฮปปี้อยู่ (แฮปปี้อยู่แปลว่า?) แต่การเรียนวิศวะก็มีวิชาอื่นๆอีกหลายวิชาที่ทำให้ปวดหัวมาก ตัววิชาก็ยากอยู่แล้ว ยังต้องมาเหนื่อยใจกับภาษาเยอรมันอีก กว่าจะเรียนจบมาได้ก็สะบักสะบอมพอตัว ตอนระหว่างที่เรียนป.ตรี เราทำงานพาร์ทไทม์อยู่งานนึง แต่เป็นงานง่ายๆ แค่ทดลองใช้เว็บไซต์ขายของออนไลน์ต่างๆแล้วเช็คดูว่ามีปัญหาอะไรมั้ย ซึ่งตอนนั้นก็โอเคกับงานนี้นะถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับคณะที่เรียน เพราะว่ามันเป็นงานที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก เลยไม่ได้รบกวนพลังงานสำหรับการเรียน ตอนที่เราเริ่มต้นหางานประจำในเยอรมันแบบจริงจังเป็นครั้งแรกก็คือหลังจบป.ตรีที่นี่ แต่ด้วยความที่ตอนเรียนป.ตรี เรียนด้วยแรงขับดันว่าต้องเรียนให้จบๆๆจะได้มีใบปริญญาอย่างน้อยใบนึง จะเรียนจบมั้ยก็แอบหวั่นๆเพราะยากเหลือเกิน แค่รีบๆเรียนๆให้จบก็พอไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่น สรุปว่าก็เลยเรียนจบพร้อมใบปริญญา แต่ถ้าถามว่าทำอะไรเป็นบ้าง ไม่รู้จะตอบอะไร 555 เขียนโปรแกรมได้แค่ Java งูๆปลาๆ ไปสัมภาษณ์งานก็ไปแบบงงๆ ประสบการณ์กระจ้อยร่อย เลยเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจเรียนต่อโทด้วยความตั้งใจว่าต้องพยายามตักตวงประสบการณ์และทักษะต่างๆในะระหว่างที่เรียนโทให้ได้มากที่สุด (ตอนนั้นไม่กลัวว่าจะเรียนไม่จบแล้วเพราะผ่านป.ตรีมาได้แล้ว และถึงจะเรียนไม่จบจริงๆอย่างน้อยก็มีปริญญาแล้วใบนึง)

หุ่นยนต์ที่ต่อสมัยเรียนป.ตรี

ตอนระหว่างที่หางานตอนหลังจบป.ตรี มีสายงานนึงที่เรารู้สึกสนใจคือ Automation Engineer ที่ในการทำงานจะได้เดินทางไปติดตั้งหรือไม่ก็ตรวจเครื่องจักรหรือโรงงานในที่ต่างๆทั้งในและนอกประเทศ ด้วยความที่ชอบเที่ยวด้วย และความที่สายงานนี้ก็ใกล้เคียงกับคณะที่เรียนจบตรีมาด้วย เราเลยตัดสินใจมาเรียนโทคณะ Automation Engineering ซึ่งระหว่างนั้นก็พิถีพิถันมากกับการเลือกวิชาที่เรียนและลงเรียนวิชาที่สนใจและคิดว่ามีประโยชน์ วิชาหนึ่งที่เราเลือกลงเรียนเป็นพิเศษคือวิชาที่ได้ทำโปรเจคต์เล็กๆที่ได้ใช้โปรแกรม PLC ซึ่งเป็นโปรแกรมควบคุมเครื่องจักรและเป็นทักษะหลักในการทำงานของ Automation Engineer เลย จริงๆในวิชาบังคับของคณะก็มีวิชานึงที่ได้หัดเรียน PLC อยู่แล้ว แต่ว่าเรียนน้อยมากกก แถมส่วนใหญ่ก็เป็นแบบให้ทำตาม instructions ที่เค้ามีมาให้ จบคอร์สแล้วเลยไม่ได้รู้อะไรมากอยู่ดี เราเลยตัดสินใจไปลงวิชาเลือกที่ได้ใช้ PLC ทำงานของตัวเองจริงๆดีกว่า ได้หัดใช้ทั้ง PLC, Python, Raspberry Pi กับเครื่องจักรจริงๆ เสร็จแล้วก็ไปสมัครฝึกงาน ซึ่งตำแหน่งเกือบทั้งหมดที่เราสมัครไปก็เกี่ยวกับ automation engineer เกี่ยวกับ PLC นี่แหละ ด้วยความที่เราเคยใช้โปรแกรมนี้ในโปรเจคต์มาแล้ว เลยคิดว่าน่าจะหาที่ฝึกงานได้ไม่ยาก แต่ปรากฏว่าไปๆมาๆ สมัครไปกี่ที่ก็โดนปฏิเสธ (ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดด้วย) มีสองที่ที่โดนเชิญไปสัมภาษณ์ที่พอสัมภาษณ์เสร็จก็โดนปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ามีคนอื่นที่เคยเรียนสายอาชีพมาก่อนที่จะมาเรียนต่อมหาลัยมาสมัคร ซึ่งด้วยความที่เค้าเรียนสายอาชีพมาก่อน เลยมีประสบการณ์กับเครื่องจักรและกับ PLC มากกว่าเราที่เคยหัดทำแค่ในโปรเจคต์สั้นๆ (บวกกับในคอร์สวิชาบังคับสั้นๆที่มหาลัยที่พอจบแล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้เรียนอะไรเลย) เค้าเลยได้ตำแหน่งนั้นไป จากใบสมัครหลายสิบใบที่เราส่งไป มีแค่สองใบเท่านั้นที่ไม่ได้สมัครตำแหน่งเกี่ยวกับ PLC ซึ่งเราโดนเชิญไปสัมภาษณ์ทั้งสองที่นั้นเลย และหนึ่งในนั้นก็ตอบตกลงรับเรามา ซึ่งเป็นตำแหน่งเกี่ยวกับ Data Analyst ที่แทบจะไม่เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เราเคยเรียนมาเลย ทั้งชีวิตมีแค่คอร์สๆเดียวที่เราเคยลงเรียนที่เกี่ยวกับ Data Analytics ซึ่งเป็นคอร์สที่ลงตอนระหว่างไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศและไม่ได้เกี่ยวกับคณะ Automation Engineering โดยตรงด้วยซ้ำ ตอนเริ่มฝึกงานก็ต้องไปหัดใช้โปรแกรม Microsoft Power BI ที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อมาก่อน ช่วงแรกๆแอบมีคิดๆว่าคิดถูกมั้ยเนี่ยมาฝึกงานสายนี้ที่ไม่เกี่ยวกับที่เรียน แต่ปรากฏว่าทำไปทำมา ชอบมาก เพื่อนร่วมงานโอเค หัวหน้าดีมาก ชีวิตก็ดี ตัวงานก็ทำเพลินดี อยากไปทำงานทุกวัน จริงๆตอนฝึกงานเสร็จเค้าถามเราด้วยว่าสนใจทำต่อแบบทำออนไลน์แบบเป็นพาร์ทไทม์มั้ยแต่ว่าเราทำไม่ได้เพราะว่าต้องทำธีสิส เสียดาย T.T

ที่ทำงานตอนฝึกงานเป็นโรงงานอยู่ในชนบท บรรยากาศดีมากเพราะอยู่ติดเทือกเขาแอลป์ เหมือนได้ไปเที่ยวตากอากาศทั้งปี แต่ว่าอยู่นานๆก็เบื่อ

ก่อนจะฝึกงานเสร็จ เราก็สมัครธีสิสต่อ ซึ่งปกติแล้วจะทำกับมหาลัยก็ได้แต่ว่าจะไม่ได้เงินเดือน ถ้าทำกับบริษัทจะมีเงินเดือนให้ เราก็สมัครกับบริษัทที่ฝึกงาน แต่ว่าเป็นสาขาในเมืองอื่น เป็นงานแนวคล้ายๆกับโปรเจค PLC ที่เคยทำที่มหาลัย แต่ว่าใช้ Python อย่างเดียว ไม่ได้ใช้ PLC และต้องทดลองเยอะกว่า ตอนนั้นส่งใบสมัครใบแรกคืองานนี้ อีกไม่กี่วันก็โดนเรียกสัมภาษณ์ แล้วอีกไม่กี่วันก็ตอบตกลงมาเลย เซอร์ไพรส์มาก (แต่คิดว่าเพราะเป็นบริษัทเดียวกัน เลยรับง่ายกว่าด้วย) งานตอนทำธีสิสจะมีส่วนที่ต้องหาอ่านวิจัย ส่วนที่เขียนโปรแกรม ส่วนที่ทำทดลอง และส่วนที่เขียนเล่ม ซึ่งส่วนที่เราชอบมีส่วนเดียวคือเขียนโปรแกรม ส่วนส่วนอื่นๆคือเกลียด 5555 ช่วงเวลาที่ทำธีสิสป.โท โดยเฉพาะช่วงท้ายๆที่กำหนดส่งใกล้เข้ามาทุกทีแต่ยังทำไม่ถึงไหน ทดลองก็ผลออกมาแบบลูกผีลูกคน ไหนจะต้องเขียนเล่มอีก เป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตเลย เคยเครียดจนใจสั่น นอนไม่หลับ ไม่มีอารมณ์กินอะไร หัวใจเต้นแรงติดต่อกันอยู่สองวัน เครียดจนถามตัวเองบ่อยๆว่าเราเอาตัวเองมาอยู่ในจุดนี้ทำไม เราจะเรียนสูงระดับนี้แต่แลกกับสุขภาพจิตที่พังไปทำไม ทำไมถึงอยากเรียนสูงเบอร์นี้ก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราในชีวิตจริงๆคืออะไรกันแน่ ฯลฯ บางโมเมนต์ก็คืออยากจะเลิกทำธีสิสให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย อยากกลับไทยด้วย กลับไปอยู่กับที่บ้าน ไม่อยากอยู่เยอรมันต่อแล้ว แต่ด้วยความที่ไหนๆก็จะเรียนจบอยู่แล้ว เลยกัดฟันทนจนในที่สุดก็ผ่านมาได้ แลกกับสุขภาพจิตและความมั่นใจที่พังไปอยู่พักหนึ่ง

ที่ทำงานตอนทำธีสิส เป็นศูนย์วิจัย อยู่ในชนบทเหมือนกันแต่บรรยากาศธรรมดาๆ ไม่ได้อลังการเหมือนตอนฝึกงาน

ระหว่างที่ทำธีสิสอยู่ ตอนที่ยังไม่เครียดจัดๆ เราก็ไปสัมภาษณ์งานมาที่นึง เป็นที่ที่เราไปฝึกงานมาแต่คนละแผนก งานก็คือตรงกับที่คิดไว้ตั้งแต่ตอนสมัครเรียนป.โทเลย เดินทางไปต่างประเทศไปตรวจเช็คการติดตั้งสายการผลิต ตอนแรกสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ไป เค้าบอกว่าถูกใจมาก ชวนไปสัมภาษณ์ที่บริษัทเลย เดินทางไปด้วยอารมณ์แอบคิดว่าคงได้แน่แล้วมั้งมาทรงนี้ ปรากฏว่าพอสัมภาษณ์ตัวต่อตัวจริง ทุกคนเคร่งเครียดมาก เจอคำถามกดดันแนวจะทำยังไงถ้าเกิดสถานการณ์นี้ๆๆๆ ถ้าลูกน้องไม่ทำงาน ถ้าโปรเจคต์ล่าช้า ถ้าอัพเดตโปรแกรมของเครื่องจักรแต่ทำงานแล้วมีปัญหา แก้ไม่ได้ซักที คนงานก็รอๆๆกดดันอยู่ เวลาทำงานก็จะหมดแล้วและทำเกินเวลาไม่ได้คุณจะทำยังไง ฯลฯ ทำนี่เป็นมั้ย เคยเรียนนี่มั้ย ฯลฯ ตอบไปเหงื่อตกไป แล้วก็คำถามที่เป็นไม้เบื่อไม้เมามาตั้งแต่ตอนหาที่ฝึกงาน “มีประสบการณ์อะไรกับ PLC” บ้าง ตอนสัมภาษณ์เสร็จ คนสัมภาษณ์บอกว่าขอบคุณที่สละเวลามา เดี๋ยวเราจะติดต่อไป รู้เลยว่าไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ได้จริงๆ.. แต่ถึงได้ เราจะอยากทำเหรอ? ณ จุดนั้นมันไม่ใช่แค่ว่าคุณสมบัติเราเหมาะกับการทำงานมั้ย มันเกี่ยวกับว่าเราอยากทำงานแบบนี้จริงๆด้วยมั้ย และเรารู้สึกดีหรือรู้สึกเข้ากันได้กับคนที่สัมภาษณ์ที่อาจจะเป็นหัวหน้าเราในอนาคตด้วยมั้ยด้วย หลังจากสัมภาษณ์ที่นี่ผ่านไป แล้วมาเจอมรสุมชีวิตจากธีสิสอีก รู้สึกเหมือนต้องจัดลำดับความต้องการในขีวิตใหม่ การทำธีสิสทำให้รู้ว่างานที่ต้องทดลองหรือใช้เครื่องจักรนั้นไม่ใช่งานที่เราทำแล้ว enjoy ยิ่งเวลามีปัจจัยอะไรมาทำให้ผลการทดลองเพี้ยนที่บอกไม่ได้ว่ามาจากไหน หรือเวลาเครื่องจักรไม่ทำงานอย่างที่คิด ทำให้เราทำงานต่อไม่ได้ ต้องให้ช่างมาเช็ค จะเป็นอะไรที่ทำให้ประสาทกินมาก กลับกันงานเขียนโปรแกรม ที่เราจะลบๆแก้ๆในโค้ดแล้ว test เมื่อไหร่ก็ได้ จะเพิ่มรายละเอียดตรงไหนก็ทำเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง โปรแกรมมีปัญหาอะไรก็หาสาเหตุเองได้ตลอด แค่เช็คดูในโค้ดแล้วเสิร์ชกูเกิลเอา จะปรับจะเปลี่ยนอะไร จะเริ่มจะจบการทดลองก็ไม่ต้องใส่ชุดป้องกัน หยิบประแจไขๆ หยิบเข้าหยิบออก ไม่ต้องมามะงุมมะงาหราเหมือนอยู่กับเครื่องจักร แค่กดแป้นพิมพ์ มองจอคอมเท่านั้น เหมือนตอนฝึกงานที่ทำงานกับโปรแกรม Power BI ก็แฮปปี้เพราะจะทำจะแก้อะไรก็คลิกๆพิมพ์ๆในโปรแกรมได้เลยแล้วเห็นผลเดี๋ยวนั้นเลย ความคิดนี้ทำให้บอกลากับความคิดอยากทำงาน automation engineer หรืองานแนววิศวะจ๋าๆที่ต้องทำงานกับเครื่องจักรหรือแม้แต่หุ่นยนต์ไปอย่างถาวร เปลี่ยนไปหางานในสาย IT ดีกว่า

อีกเหตุผลที่สนใจงานในสาย IT คือ เพราะมีโอกาสได้ทำงานที่ทำแบบออนไลน์ 100% ได้เยอะกว่า ถ้าได้งานที่ทำออนไลน์ได้แบบนี้ จะเดินทางไปไหนก็ได้ตามใจ ไม่เหมือนงาน automation engineer ที่ต้องเดินทางไปตามที่ๆเค้าบอกให้ไป และเผลอๆอาจจะได้งานที่ไปทำออนไลน์จากที่ไทยได้ก็ได้ เราจะได้มีโอกาสได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้นด้วย

ตอนแรกวางแผนว่าจะเขียนธีสิสให้เสร็จแล้วกลับมาพักผ่อนที่ไทย ปรากฏว่าไปๆมาๆ เขียนไม่ทัน กลับมาไทยแล้วต้องกลับมานั่งเขียนต่ออีก เป็นช่วงเวลาที่เครียดที่สุดในชีวิตเลยโดยเฉพาะตอนที่ส่งฉบับแรกไปแล้วโดนวิจารณ์กลับมาแบบพรุน ต้องมานั่งแก้ใหม่ นั่งกินข้าวมองหน้าพ่อแม่ไปจะร้องไห้ไป

อีกผลลัพธ์จากการจัดลำดับความสำคัญในชีวิตใหม่คือการตัดสินใจย้ายไปอยู่เมืองเบอร์ลิน หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่แต่เมืองเล็กๆไปจนถึงหมู่บ้านในชนบทมาตลอด (ยกเว้นตอนไปแลกเปลี่ยน) เราเคยไปเบอร์ลินหลายครั้งและชอบมากเพราะเป็นเมืองใหญ่ที่มีอะไรให้สำรวจหรือให้ทำตลอดเวลา ไม่น่าเบื่อเลย ตอนที่ใกล้ๆส่งธีสิส บอกตัวเองเลยว่าฉันจะย้ายไปอยู่เบอร์ลิน ถึงเงินเดือนอาจจะน้อยกว่าก็ไม่เป็นไร ชีวิตที่เงินเยอะแต่ทำงานหนักและเครียดจนสุขภาพจิตพัง หรือทำงานโอเคแต่พอเลิกงานแล้วไม่มีที่ให้ไปกินดื่มสังสรรค์ใช่ชีวิต เราก็ไม่อยากมีอยู่ดี พอพรีเซนต์ธีสิสป.โทเสร็จเลยเก็บกระเป๋า ย้ายมาตายเอาดาบหน้าเลย มาหาบ้าน หางานเอาที่นี่

ช่วงแรกๆของการหางาน เราก็สมัครงานแนวๆ IT ไปหลายที่ ไปสัมภาษณ์รอบแรกก็หลายที่อยู่ รอบนี้พยายามเน้นหาตำแหน่งที่เกี่ยวกับ Data Analyst ที่ตรงกับที่เราไปฝึกงานมา แต่ก็ไม่วายมีอุปสรรค เพราะถึงเราจะมีประสบการณ์ฝึกงาน แต่ก็ไม่ได้เรียนมาสายนี้โดยตรง และหลายๆที่ก็หาแต่คนที่มีประสบการณ์มาแล้วหลายปี 😒 รอบนี้เราสมัครตำแหน่ง Trainee ไปสามสี่ที่ สมัครไปก็บ่นกับตัวเองไปว่าอุตส่าห์เรียนโท นึกว่าจะหางานง่ายขึ้น แต่ก็ต้องมาสมัครตำแหน่งสำหรับคนประสบการณ์น้อยอยู่ดี คุ้มเวลาชีวิตมั้ย ถ้าเริ่มทำงานตั้งแต่จบตรี ป่านนี้คงได้สัญชาติเยอรมันไปแล้ว

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้การหางานรอบนี้ต่างจากการหางานตอนจบตรีเยอะมาก คือสมัยนี้มีเว็บและเทคโนโลยีต่างๆเยอะกว่าสมัยนั้นมาก มีเว็บสำหรับหางานหลายๆเว็บที่เราแค่ต้องอัพโหลด CV แล้วจะมี recruiter ติดต่อมาเองหรือจะมีพนักงานหาบริษัทให้เราแบบไม่ต้องเขียน cover letter หรือส่งใบสมัครเองเลย ตอนเล่นโซเชียลมีเดียก็มีโฆษณาประกาศรับสมัครงานโผล่มาเยอะมาก หลายที่ก็ไม่จำเป็นต้องส่ง cover letter แค่ส่ง CV ส่วนในเรื่องของการเขียน cover letter เดี๋ยวนี้ก็มี ChatGPT ช่วยเรียบเรียงหรือแก้แกรมมาร์ให้ ไม่ต้องไปรอขอเพื่อนคนเยอรมันให้ช่วยแก้ให้แล้ว สะดวกรวดเร็วมาก

ย้ายมาเบอร์ลินเพื่อมาหาแสงสี

สรุปแล้ว หลังจากสมัครไปหลายสิบที่ ซึ่งตำแหน่งส่วนใหญ่ที่สมัครก็เป็นตำแหน่งเกี่ยวกับ Data Analyst ในที่สุดเราก็ได้งานที่บริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งที่ทำเกี่ยวกับ RPA หรือ Robotic Process Automation แต่ตำแหน่งที่เราได้ไม่ใช่ตำแหน่งเกี่ยวกับ Data Analyst แต่เป็นตำแหน่งที่ชื่อว่า… Automation Engineer 555555 และในตำแหน่งนี้ เรามีหน้าที่สร้างหุ่นยนต์ แต่เป็นหุ่นยนต์ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่หุ่นยนต์ตัวเป็นๆ 5555 และอีกอย่างคือ งานนี้เป็นงานแบบทำออนไลน์ 100% ด้วย 🤩🤩🤩 (คือมีออฟฟิศแต่จะมาหรือไม่มาก็ได้) เหมือนชีวิตเล่นลิ้นกับเรา ตอนแรกอยากได้สิ่งนี้ แต่ไปได้สิ่งนั้นแทน พอต่อมาอยากได้สิ่งนั้น แต่กลับมาได้สิ่งนี้ ในอยู่ในรูปแบบของสิ่งนั้น งงมั้ย 555 แต่สรุปว่าตอนนี้โอเคกับตำแหน่งนี้มาก RPA เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆด้วย ตัวบริษัทจริงๆแล้วตั้งอยู่ที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ต แต่ด้วยความที่เป็นงานออนไลน์ เราเลยได้อาศัยอยู่ที่เบอร์ลินต่อไป

ตอนที่สมัครงานตำแหน่งนี้ เราสมัครผ่านเว็บ https://talentagent.de/talent ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเว็บที่เราแค่อัพโหลด CV ไปแล้วจะมีพนักงานหาบริษัทที่เหมาะกับโปรไฟล์ของเรามาให้เรา อีกเว็บคล้ายๆกันที่ตอนนั้นใช้หางานคือเว็บ https://www.get-in-it.de ตอนที่เห็นข้อมูลของบริษัทนี้ในลิสต์ของบริษัทที่เค้าแนะนำมาให้ เรารู้สึกสนใจเพราะว่าจากที่หาๆงานมา เห็นคีย์เวิร์ดคำว่า RPA ในประกาศรับสมัครงานของบริษัทต่างๆบ่อยๆ พอไปหาข้อมูลเพิ่มเลยเจอว่าอันนี้เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังมา เลยสมัครไป ด้วยความที่บริษัทที่ขนาดเล็ก กระบวนการต่างๆเลยเดินเร็วมาก รอแค่ไม่กี่วันก็ได้สัมภาษณ์แล้ว รอบแรกสัมภาษณ์กับ HR คำถามทั่วๆไป เล่าเรื่องตัวเอง ทำไมคุณอยากทำงานที่นี่ คุณมีความสำเร็จอะไรที่คุณรู้สึกภูมิใจกับมันบ้าง ฯลฯ แล้วก็เปิดโอกาสให้เราถามคำถามต่างๆกลับ สัมเสร็จรอสองสามวันก็ได้รับคำเชิญชวนไปสัมรอบต่อไปแล้ว รอบที่สองสัมภาษณ์กับ HR กับหัวหน้าทีม เป็นการสัมภาษณ์ที่บรรยากาศคนละแบบกับตอนสัมภาษณ์งานตำแหน่ง PLC ที่แล้วมาก หัวหน้าทีมดูเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะบ่อย ไม่หน้านิ่วคิ้วขมวด แถมเค้ายังดูสนใจในสิ่งที่เราเล่ามาก รอบนี้ก็จะเป็นคำถามแนวแบบ คุณเคยทำอะไรมาบ้าง ตอนทำงานนี้คุณทำอะไร อธิบายธีสิสให้ฟังหน่อย เคยใช้โปรแกรมนี้มั้ย ฯลฯ โชคดีที่ตอนที่เราฝึกงาน เราเคยใช้โปรแกรมนึงที่เค้าใช้ในการทำงานอยู่แป๊บนึง เลยพอมีอะไรมาเล่าบ้าง แล้วคำถามหนึ่งที่เด็ดดวงที่เค้าถามมาคือ คุณคิดว่าคุณได้อะไรจากการเรียนป.โทบ้าง ซึ่งด้วยความที่ไม่ได้เตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้มา กับความที่ตอนนั้นอยู่ในอารมณ์เฟลว่าไม่รู้จะเรียนป.โทมาทำไม เรียนจบมาก็ยังรู้สึกว่าหางานยากอยู่ดี ก็เลยตอบไปตรงๆว่า สิ่งที่ได้คือการหัดวางกลยุทธ์ว่าจะลงเรียนกับเตรียมตัวสอบยังไงให้สอบผ่านทุกวิชา 55555 กับบอกไปตรงๆอย่างที่เล่ามาตอนต้นบล็อกว่าที่เรามาเรียนป.โทคือเพราะจะได้มีโอกาสสะสมประสบการณ์ต่างๆในฐานะนักเรียนเพิ่มขึ้นมากกว่า เช่นการไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศ การฝึกงานกับทำธีสิสที่บริษัท อะไรอย่างงี้ ซึ่งเค้าก็ดูจะพอใจในคำตอบมั้ง เพราะว่าอีกไม่กี่วันเค้าก็เชิญเราไปสัมรอบที่สามซึ่งเป็นรอบสุดท้าย ซึ่งเค้าเรียกว่าเป็น Case study ตอนนั้นเค้าไม่ได้บอกเราว่ารอบนี้จะเป็นยังไง เราก็เตรียมตัวด้วยการไปดูคลิปเตรียมตอบคำถามสัมภาษณ์เกี่ยวกับ RPA ในยูทูบเยอะแยะมากมาย พอถึงตอนสัมภาษณ์จริงๆ ปรากฏว่าในการสัมภาษณ์รอบนี้ เค้าจะให้โจทย์เรามาแล้วให้เราใช้โปรแกรมที่เค้ากำหนดให้แก้ปัญหาของโจทย์นั้น (แบบแชร์หน้าจอคอมของเราให้เค้าดูไปด้วย ตอนนั้นสัมภาษณ์แบบโทรคุยออนไลน์) ซึ่งโปรแกรมที่เค้าให้เราใช้ก็คือโปรแกรมที่เราเคยใช้ตอนฝึกงานแค่นิดเดียว ที่เค้าให้เล่าให้ฟังตอนสัมภาษณ์รอบสองนั่นแหละ ด้วยความที่เราเคยใช้แค่แป๊บเดียว และความที่ไม่ได้เตรียมตัวแนวนี้มา เลยช๊อคไปห้าวิ แต่ก็พยายามทำๆๆ กดๆมั่วๆๆไป แต่ว่าก็กดมั่วไปเยอะมากกกก แบบกดหาฟังก์ชั่นที่อยากจะใช้ไม่เจอ สุดท้ายพอเวลาหมดคือทำไปได้นิดเดียว เค้าเลยให้เราอธิบายแทนว่าจริงๆแล้วเราตั้งใจวางแผนว่าจะทำอะไรยังไง แล้วเจอปัญหาอะไรระหว่างที่ทำบ้าง เราก็อธิบายๆๆไป แล้วก็บอกว่าถ้าเป็นตอนทำงานจริงๆฉันจะเปิดกูเกิลไปด้วยรัวๆเพื่อดูว่าโปรแกรมนี้ใช้ยังไง ถ้าจะทำอย่างนี้ต้องกดตรงไหนยังไงไรงี้ เค้าก็ถามกลับว่าอ้าวแล้วเมื่อกี๊ทำไมไม่เปิด เราก็เงิ่บเลย แบบ อ้าวก็นึกว่าไม่ให้เปิด T[]T!!! เค้าก็บอกว่าเค้านึกว่าเราใช้จอคอมสองจอแล้วเราเปิดกูเกิลดูในอีกหน้าจอนึงที่เราไม่ได้แชร์ให้เค้าดู T.T เค้าบอกว่าเราไม่ได้อยู่ในมหาลัยแล้ว เปิดกูเกิลดูได้ ไม่ได้ทำข้อสอบอยู่ เป็นงั้นไป สรุปว่าเค้าก็นิ่งๆกันแล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะติดต่อกลับไป ตอนนั้นก็คือแอบทำใจว่าคงจะปิ๋วแล้วมั้ง แต่ปรากฏว่าอีกไม่กี่วัน HR โทรมาบอกตอบรับเรา! ดีใจมากและแอบตกใจด้วย แล้วเค้าก็ส่งสัญญางานพร้อมวันเริ่มงานมาให้อ่าน เราถามว่ามีเวลาตัดสินใจนานแค่ไหน เค้าก็บอกว่านานเท่าที่เราต้องการเลย ซึ่งฟังดูเป็นสัญญาณที่ดีมาก เราก็เล่นตัวอยู่สามสี่วันแล้วก็เซ็นสัญญาตอบตกลงไป 555 ก็เป็นอันว่าในที่สุดก็หางานประจำได้แล้ว เย่!

เมืองแฟรงค์เฟิร์ตที่บริษัทเราตั้งอยู่

ตอนเริ่มงานวันแรก เราเดินทางมา onboarding ที่บริษัทที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ตอยู่สองวัน บริษัทออกค่าเดินทางกับค่าที่พักให้ด้วย นอกจากเราแล้วก็มีเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มงานตำแหน่งเดียวกันกับเราอีกคนนึง วันแรกมีพนักงานมาออฟฟิศประมาณสิบคน วันที่สอง นอกจากเรากับเด็กใหม่แล้วมีคนอื่นมาแค่สองคน 555 คือ HR กับหัวหน้าของเรา ในที่สุดหลังจากที่เดินทางสู้ชีวิตที่คดเคี้ยวเลี้ยวลัดขึ้นเขาลงเหวมากว่า 30 ปี ในที่สุดก็มาถึงวันนี้ ที่มีงานทำ มีชีวิตเป็นของตัวเองซักที 🥺 ณ จุดนี้ก็ผ่านมาได้สี่เดือนแล้ว ก็ได้เรียนรู้โปรแกรมใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆเยอะแยะ ได้มีส่วนร่วมในการทำแอป ทำระบบให้ลูกค้า มีส่วนร่วมในการช่วยหัวหน้ากับช่วยทีมหาข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อไปเสนอ Solution สำหรับปัญหาของลูกค้า รู้สึกดีว่าตัวเรานี่ก็มีประโยชน์ได้ขนาดนี้เลยเหมือนกันนะ 555 ถึงภาษาจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ว่าเราก็สามารถสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจ และเข้าใจคนอื่นได้ (คิดว่านะ 5555) แต่ว่าการทำงานออนไลน์ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน คือนอกจากจะไม่ได้เจอได้คุยกับเพื่อนร่วมงานแบบตัวเป็นๆแล้ว เรายังไม่สามารถบอกได้ชัดๆว่าวันๆนึงเราทำงานไปเยอะแค่ไหนอีก เพราะเดี๋ยวก็ไปทำกับข้าวกินบ้าง เดี๋ยวก็แอบเปิดยูทูบดูบ้าง เดี๋ยวก็แอบไปงีบบ้าง 555 หลายๆวันก็เลยทำชดเชยไปจนเลิกซะดึก เลยกลายเป็นปัญหาว่าเราจะแยกตัวงานออกจากชีวิตส่วนตัวยังไงดี ทุกวันนี้ถือหลักการว่าขอแค่งานเสร็จในขอบเขตเวลาที่กำหนดไว้พอ แต่ละวันทำเยอะทำน้อยแค่ไหนก็ช่างก่อน 555 แต่จริงๆเรื่องนี้ก็ยังเป็นปัญหาที่เราก็ยังคงพยายามปรับตัวและหาทางออกที่ลงตัวกับตัวเราอยู่ เพื่อจะได้ทำงานแบบออนไลน์ได้อย่างสบายใจและมีระเบียบวินัยแบบเป็นกิจจะลักษณะ ตอนนี้ทำงานผ่านมาสี่เดือนกว่าแล้ว แต่ว่าช่วงทดลองงานที่เยอรมันกินเวลาหกเดือน ตอนนี้ก็คือยังรอให้ผ่านช่วงทดลองงานอยู่ เดี๋ยวผ่านเมื่อไหร่จะไปเปลี่ยนวีซ่าเป็นวีซ่าทำงานจริงๆจังๆ แล้วเดี๋ยวจะกลับมาอัพบล็อกอีกที ขอให้ผ่านช่วงทดลองงานและเปลี่ยนวีซ่าได้แบบไม่มีปัญหาอะไรนะ อิอิ

2 thoughts on “เส้นทางชีวิตกว่าจะได้งาน

  1. ยินดีกับงานใหม่ด้วยนะครับ ฟังดูน่าสนุกมาก

    มุมมองชีวิตการทำงานที่ผมเจอคล้าย ๆ กับประสบการณ์ที่คุณเล่ามาเลย (แบคกรานด์คล้ายกันด้วย ปริญญาใบแรกผมก็เป็นสาย engineer แต่ทำงานยาว ๆ มาในสาย IT ) ประเด็นคือบางช่วงมันจะมีโอกาสที่เราจะได้เลือก “งานที่รายได้ดี” ในขณะที่บางช่วงเราจะมีโอกาสได้เลือก “งานที่ใช่ตรงจริต” แน่นอนว่าจังหวะเวลาที่จะได้เลือก มันจะมีปัจจัยต่าง ๆ ให้คิด และมันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ (ไม่เคยสมบูรณ์แบบ 100% 555) แล้วแต่วาระโอกาส ขอให้สนุกกับงานและชีวิตครับ und schönes Wochenende!

    1. ขอบคุณครับบ ตอนนี้ยังหน้าใหม่ในสายไอทีอยู่เลย หวังว่าจะไปถึงจุดที่เลือกได้ขนาดนั้นได้เร็วๆครับ ถถถ

Leave a comment