Amalfi Coast: Day 2

วันที่สองใน Amalfi Coast เราตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมหาด แต่ไม่ค่อยเห็นอะไรมากเพราะฟ้าครึ้ม เลยเดินไปเมือง Amalfi ไปตรงจุดชมวิวตรงกลางทะเล ตอนนั้นไม่มีคนเลย ฟินมาก

เสร็จแล้วก็เดินเข้าไปสำรวจตัวเมือง Amalfi ที่เต็มไปด้วยถนนแคบๆคดเคี้ยวไปมาไปตามตัวเมืองที่ตั้งเรียงรายอยู่ตามเขา พอเดินเข้าไปลึกๆก็จะเหลือแค่ถนนเส้นหลักเส้นเดียวที่นำเราลึกเข้าไปในหุบเขา ตัวเมืองโบราณจะอยู่ตรงแค่ช่วงแรกๆที่ใกล้ๆชายหาด พอเดินลึกเข้ามาสภาพบ้านเมืองก็จะเป็นตึกปูน เป็นตึกสมัยปัจจุบันทั่วๆไป สภาพเหมือนต่างจังหวัดไทยเลย เราเดินเข้าไปจนสุดถนน จะเป็นโรงสีโบราณที่มีน้ำตกเล็กๆอยู่ แล้วตรงนั้นตรงหุบข้างสองข้างจะเต็มไปด้วยไร่เลมอนเต็มไปหมด ลูกเลมอนเหลืองๆใหญ่ๆน่าขโมยมากินมาก เค้าว่ากันว่าเลมอนของเมือง Amalfi นี้จะใหญ่กว่าเลมอนจากที่อื่นๆ เป็นสินค้าท้องถิ่นชื่อดังเลย

เสร็จแล้วเราก็เดินกลับมายังลานจอดรถบัสหน้าหมู่บ้าน Amalfi อีกครั้งเพื่อมาขึ้นรถบัสไปยังเมือง Positano ที่เป็นเมืองที่ดังที่สุดอีกเมืองในแถบชายหาด Amalfi ระหว่างทางรถบัสจะวิ่งไปตามถนนเส้นแคบๆที่ลัดเลาะไปตามแนวหน้าผาริมทะเล พอใกล้ๆถึงเมือง Positano เราจะเห็นวิวของตัวเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอยู่ไกลๆ สวยมาก เมือง Positano จะใหญ่กว่าเมืองอื่นๆบนหาด Amalfi และจะมีโรงแรมมีร้านอาหารสถานบันเทิงอะไรเยอะแยะมากมาย เป็นเมืองที่ครบเครื่องสำหรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักโดยเฉพาะเพราะราคาสิ่งของและบริการต่างๆรวมถึงที่พักแพงมากๆระดับห้าดาว แต่บรรยากาศของเมือง ชายหาด และวิวของตัวเมืองก็พรีเมียมระดับห้าดาวเช่นกัน อย่างที่เห็นในรูปเลย ด้วยขนาดที่ใหญ่กว่าเมืองอื่นๆแถบนี้ ทำให้ที่เมือง Positano จะมีป้ายรถบัสสองป้าย จากแต่ละป้ายจะมีถนนเส้นหลักของเมืองเลี้ยวลดไปมาตามเนินเขาผ่านตึกสวยๆของเมืองลงไปยังชายหาดด้านล่างแล้วก็เลี้ยวลดขึ้นเขากลับไปยังป้ายรถบัสอีกป้าย ชายหาดของที่อิตาลีนี้จะแบ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นของเอกชน เช่นร้านอาหาร หรือโรงแรม กับพื้นที่ที่เป็นสาธารณะ ตรงพื้นที่ที่เป็นของเอกชนเราจะเห็นโต๊ะเก้าอี้และร่มกันแดดตั้งเป็นแนวอยู่เต็มไปหมด ซึ่งเราต้องเสียค่าเช่าโต๊ะเหล่านี้กับร้านเจ้าของพื้นที่ถึงจะสามารถไปนั่งได้ แต่ตรงที่เป็นพื้นที่สาธารณะเราสามารถเอาเสื่อมาปู เอาร่มมากางอะไรเองได้ตามสะดวกเลย

หลังจากลงรถบัสแล้วเราก็เดินตามถนนเส้นหลักของเมืองมาเรื่อยๆจนมาถึงบริเวณหาด เดินดูวิวแถวนั้นนิดนึงแล้วก็เดินตามถนนริมหาดมาทางทิศตะวันตกมาเรื่อยๆ เดินมาแค่แป๊บเดียวเราจะเจอกับหาดสองหาดที่คนแอบน้อยกว่าหาดหลักตรงหน้าเมือง Positano และบรรยากาศธรรมชาติมากกว่า หาดแรกที่เราเจอเป็นหาดแคบๆอยู่ระหว่างโขดหินใหญ่ๆสองโขด มีคนมาว่ายน้ำแค่คนเดียว แล้วก็ที่นั่งให้เช่าสองที่ที่ไม่มีคนเช่า นอกนั้นก็ไม่มีใครเลย ตกใจมาก ส่วนหาดที่สองที่เจออยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว หาดนี้จะยาวกว่าและจะมีร้านอาหารตั้งอยู่น่าจะสามร้านได้ ซึ่งบริเวณหาดตรงหน้าร้านก็จะเป็นส่วนที่ต้องเช่าโต๊ะหรือกินอาหารของร้านถึงจะมาเล่นน้ำได้ ถัดจากร้านอาหารสามร้านนี้ไปจะเป็นบริเวณหาดสาธารณะที่มีคนมานอนอาบแดดกระจุกกันอยู่ตรงนี้เพียบ ตอนแรกเราเดินไปปูผ้านั่งตรงหาดเล็กๆอันแรกที่ไม่มีคนก่อน ฟินมากๆได้นั่งอาบแดดผ่อนคลายริมหาดที่เหมือนจะเป็นหาดส่วนตัวไปแล้ว แล้วก็เดินไปเล่นน้ำนิดนึง น้ำเย็นมากๆ ต้องทำใจอยู่นานกว่าจะลงไปทั้งตัวได้ แล้วข้อเสียอย่างหนึ่งของหาดที่นี่คือตรงชายหาดมันจะเต็มไปด้วยกรวดเม็ดเล็กๆๆๆ ไม่ใช่ทรายละเอียด ทำให้เวลาเดินเท้าเปล่าแล้วมันจะตำๆเท้า เจ็บมาก ยิ่งเดินตอนเท้าเปียกๆหลังจากเล่นน้ำทะเลขึ้นมานี่ยิ่งเจ็บเข้าไปใหญ่เหมือนเข็มตำ ต้องใส่รองเท้าแตะเล่นน้ำ ไม่รู้ฝรั่งทนได้ไง น่าเสียดายมาก ถ้าเป็นหาดทรายนะ จะฟินสุดๆไปเลย เสร็จจากหาดนี้เราก็เดินไปเล่นน้ำที่หาดใหญ่ข้างๆอีกนิดนึง ตรงนี้วิวจะสวยกว่าเพราะไม่มีโขดหินบัง พอว่ายออกไปได้นิดนึงแล้วหันกลับมา เราจะเห็นเทือกเขาและหน้าผาสูงใหญ่ตระการตาที่มีบ้านโบราณสวยๆตั้งแซมอยู่ตรงนั้นตรงนี้ทอดยาวออกไปจนสุดปลายซ้ายขวาของรัศมีการมองเห็น ต้องแหงนคอถึงจะมองเห็นยอดของภูเขา ส่วนตรงส่วนที่ติดทะเลเราก็จะเห็นป้อมปราการโบราณบนโขดหิน ตั้งอยู่ตามแนวหน้าผาริมหาดเป็นระยะๆ เป็นวิวการเล่นทะเลที่สวยที่สุดในชีวิต หยุดมองไม่ได้เลย

หลังจากว่ายน้ำเสร็จแล้วเราก็เดินกลับมายังตัวเมือง Positano แล้วก็เดินตามถนนสายหลักขึ้นเขาไปยังป้ายรถบัสอีกป้ายของเมือง ตรงนั้นจะมีร้านอาหารที่ได้คะแนนรีวิวสูงและราคาถูกกว่าร้านอื่นๆที่ได้คะแนนรีวิวสูงพอๆกัน เราเลยแวะกินอาหารกลางวันที่ร้านนั้น เป็นพาสต้าทรงกระบอกใหญ่ๆใส่เนื้อปลาทูน่าก้อนๆ มะเขือเทศ และซอสสูตรท้องถิ่น ก่อนอาหารจะมาเค้ามีขนมปังใส่มะเขือเทศสับและใบบาซิลที่เป็นอาหารว่างมาเสิร์ฟให้ด้วย อร่อยทั้งสองอย่าง อร่อยมากๆ แนะนำ

กินเสร็จแล้วเราก็ไปขึ้นรถบัสกลับไปยัง Amalfi แล้วก็เดินกลับไปยังที่พักในเมือง Atrani (รถบัสจาก Positano จะวิ่งไปถึงแค่ที่เมือง Amalfi ถ้าจะเดินทางไปยังเมืองอื่นต่อต้องไปต่อรถสายที่วิ่งออกจาก Amalfi อีกที) อาบน้ำนอนสลบ ก่อนจะออกมาเดินเล่นดูวิวยามอัสดงที่เมือง Amalfi อีกรอบ คืนนั้นเราตั้งใจจะกินหรูซักมื้อก่อนกลับ เดินดูร้านนั้นร้านนี้ในเมือง Amalfi อยู่ซักพักแต่คนเยอะแทบทุกร้านเลย เลยเดินกลับไปเมือง Atrani แล้วก็ตัดสินใจกินที่ร้าน Le Arcate ที่แสนแพงนี่แหละ กะว่าจะต้องกินอาหารอร่อยกับดูวิวฟินๆแน่นอน วันนั้นเรากินจานแรกเป็นสปาเกตตี้หอยที่ใส่หอยมาให้เยอะมาก แต่รสชาติไม่ได้ว้าวอะไรเป็นพิเศษ ส่วนจานที่สองเป็นสเต๊กปลาอะไรซักอย่างกับผักย่างที่รสชาติไม่ได้ว้าวอะไรเป็นพิเศษเหมือนกัน จริงๆหลังจากที่อยู่อิตาลีมาห้าเดือนนี่ได้ค้นพบความจริงว่าร้านอาหารในอิตาลีไม่ได้อร่อยทุกร้าน หรือบางเมนูอาจจะอร่อยแต่เพราะเราไม่คุ้นเคยเลยรู้สึกไม่อร่อยก็เป็นไปได้ บางทีอาหารบางอย่างทำกินเองที่บ้างอาจจะอร่อยกว่าไปกินที่ร้านอาหารก็มี ไม่ต้องเสียเงินเยอะด้วย สรุปว่ามื้อนั้นกินเสร็จจ่ายตังเสร็จ เดินกลับที่พักแบบกระเป๋าตังเบาหวิว แต่ผิดหวังเรื่องรสชาติ เสียดายตังมาก ในส่วนของวิว ตอนนั้นตอนกลางคืน มืดไปหมดมองไม่ค่อยเห็นอะไรแล้ว แล้วจริงๆแล้ววิวนั้นก็มองเห็นได้จากที่อื่นๆอยู่แล้วด้วยไม่ได้พิเศษอะไรขนาดนั้นเลย คราวหน้าไม่เอาแล้ว จ่ายแพงเพื่อแลกวิวเนี่ย 555 เข้านอนด้วยความเสียดายเงิน เดี๋ยววันต่อไปซึ่งเป็นวันสุดท้ายไว้มาต่อในโพสต์หน้า

Amalfi Coast: Day 1

Amalfi Coast เป็นแถบชายฝั่งทางใต้ของประเทศอิตาลีไม่ไกลจากเมือง Naples ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกและมีความสวยงามมากๆ ตามแนวชายฝั่งนี้จะมีเมืองเล็กๆที่สวยงามตั้งอยู่ เมืองที่ดังที่สุดน่าจะเป็น Positano และ Amalfi เรารู้จักสองเมืองนี้จากโฆษณาที่สุ่มขึ้นมาโชว์บนเฟสบุ๊ค ตอนแรกเห็นรูป ไม่แน่ใจว่าเป็นรูปของ Positano หรือ Amalfi แต่เป็นรูปที่ถ่ายจากฝั่งทะเลเข้ามา เห็นแล้วแบบว้าว สวยมากๆ จากนั้นที่นี่ก็เลยกลายมาเป็นจุดหมายแห่งหนึ่งที่อยากไปเยือนซักครั้ง ตอนที่เราชัวร์แล้วว่าจะมาแลกเปลี่ยนที่อิตาลีนี่คือตั้งใจไว้เลยว่าไม่พลาดแน่ ต้องได้ไป Amalfi Coast แน่นอน แต่ไม่ได้คิดไว้ว่าจะไปเมื่อไหร่ ตอนแรกกะว่าเดี๋ยวรอสอบเสร็จค่อยไปละกัน จะได้เหมือนไปฉลองอะไรอย่างนี้ แต่ปรากฏว่าอยู่ดีๆวันนึงเปิดเพลง California Gurls ของ Katy Perry ฟังอยู่บ้าน แล้วก็มีอารมณ์นึกอยากจะไปทะเลขึ้นมา ก็เลยลองเข้าเน็ตหาที่พัก เช็คตั๋วเดินทางต่างๆ เจอที่พักถูกใจราคาไม่แพงพอดี เลยจองเดี๋ยวนั้นแล้วเช้ามืดวันต่อมาก็ออกเดินทางเลย 555 เป็นทริปที่สองที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันมากแทบไม่ได้วางแผนอะไรเลย ถัดจากทริปแรกที่เป็นทริป Val d’Orcia เมื่อเดือนก่อนหน้านี้ที่เขียนเล่าไว้ในโพสต์นี้ https://petchpetals.wordpress.com/2021/08/21/val-dorcia-2nd-time/

การจะเดินทางมาเที่ยวที่ Amalfi Coast เราสามารถมาเริ่มต้นที่เมือง Sorrento หรือเมือง Salerno ได้ ถ้าเดินทางมาจากกรุงโรม ยังไงก็ต้องมาเปลี่ยนรถไฟที่เมือง Naples ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะนั่งสายที่ไป Sorrento หรือ Salerno เมือง Sorrento มันก็จะเล็กกว่า Salerno แล้วก็ได้บรรยากาศเมืองท่องเที่ยวเล็กๆสบายๆมากกว่า เมือง Salerno มันจะอารมณ์เหมือนเป็นเมืองใหญ่ทั่วๆไป ไม่มีอะไรให้ดูมาก แต่ว่าจากเมือง Salerno จะใช้เวลาในการเดินทางมายังเมืองใน Amalfi Coast น้อยกว่า ตอนนั้นเราไม่ได้กะจะเที่ยวเมือง Sorrento ด้วย เลยนั่งรถไฟมาลงที่ Salerno ซึ่งจากจุดนี้เราสามารถนั่งรถบัสต่อได้ หรือจะนั่งเรือเฟอร์รี่ก็ได้ซึ่งจะแพงกว่าแต่เราก็จะได้เห็นวิวจากทะเลซึ่งจะสวยมาก ตอนนั้นเราเลือกนั่งเรือเฟอร์รี่เพราะอยากได้ first impression ของทริปนี้ที่เป็นวิวจากทะเลที่สวยงาม

ทริปนี้เราจองที่พักจาก AirBnB ที่เป็นห้องแบบห้องเดี่ยวนอนคนเดียว แชร์ห้องน้ำกับคนอื่น ที่พักตั้งอยู่ในเมือง Atrani ที่ตั้งอยู่ติดกับเมือง Amalfi เลย แต่มีภูเขาเล็กๆกั้นอยู่ จากเมือง Salerno เราก็นั่งเรือมายังเมือง Amalfi แล้วก็เดินย้อนกลับไปตามถนนไปยังที่พักที่เมือง Atrani ไปเช็คอิน ระหว่างที่เดินมานี่กลิ่นอาหารทะเลจากร้านต่างๆหอมเตะจมูกมาตลอดทางเลย น้ำลายจะไหลมากๆ ตอนไปถึงที่พักเจ้าของที่พักก็แนะนำที่เที่ยวที่กินมาเยอะมาก เช็คอินเสร็จเราเลยไปกินตามแนะนำที่ร้านแรกเลย คือร้าน Le Arcate ที่เป็นภัตตาคารติดริมหาด เห็นวิวหมู่บ้านและวิวทะเลแบบเต็มๆตา ร้านนี้ราคาจะแพงสุดในเมืองเลยเพราะวิวพรีเมียมที่สุด แต่ว่ามันจะมีเมนูพิซซ่าสำหรับสั่งกลับบ้านที่ราคาจะถูกกว่านั่งกินที่ร้าน เราเลยไปลองสั่งเมนูพิซซ่าทะเลซักอย่างมาดู ใส่กุ้ง ชีส มะเขือเทศ แล้วก็น่าจะมีเครื่องเทศอีกหน่อย ความรู้สึกตอนนั้นก็อร่อยดี แต่มองจากจุดนี้ย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่าหลังจากนี้ได้กินพิซซ่าที่อร่อยๆกว่านี้เยอะเลย สปอยล์เลยละกันว่าตอนก่อนจบทริปก็มากินร้านนี้อีกรอบ คราวนี้กินแบบจัดเต็มทั้ง first course, second course แต่รสชาติจำได้ว่าไม่ได้รู้สึกว้าวอะไรเท่าไหร่เลย แถมราคายังแพงกว่าร้านอื่นๆอีก รู้สึกเสียดายน่าจะไปกินร้านอื่นที่เค้าแนะนำที่ราคาถูกกว่าแทน เช่นร้าน Savò

สรุปว่ามื้อนั้นเราก็ซื้อพิซซ่าใส่กล่องแล้วเอาไปนั่งกินตรงม้านั่งแถวนั้นแทน ได้เห็นวิวเดียวกันแต่ว่าได้ประหยัดเงินไปครึ่งๆ พอกินเสร็จก็เดินไปเมือง Amalfi ซึ่งจากเมือง Atrani ถ้าเราเดินตามถนนไปทางเมือง Amalfi ไป มันจะมีอุโมงค์ให้รถวิ่งผ่านอุโมงค์นึง ที่เราสามารถเดินอ้อมไปข้างๆ ผ่านร้านอาหารที่อยู่ฝั่งด้านนอกของอุโมงค์ฝั่งติดทะเลได้ พอผ่านอุโมงค์นั้นแล้วอีกนิดเดียวเราก็จะเห็นอุโมงค์สำหรับคนเดินอยู่ทางขวามือ ซึ่งอุโมงค์นี้เป็นทางลัดไปเมือง Amalfi ที่ทำให้เราไม่ต้องเดินอ้อมเขาและไม่ต้องเดินไปตามริมถนนที่มีรถวิ่งผ่านไปผ่านมา

ด้านในอุโมงค์นี้ตรงฝั่งใกล้ๆเมือง Amalfi จะมีทางแยกเข้าไปในเขา ซึ่งจะพาเราไปยังลิฟต์ที่สามารถนั่งขึ้นไปบนเขาเหนือตัวเมือง Amalfi ได้ ตอนที่เราไปมันจะเหมือนกับมีช่องหยอดเหรียญเก็บค่าเข้า แต่ว่าประตูทางเดินก็ไม่ได้กั้นอะไรไว้ เลยเดินเข้าออกได้เลย (โฮสต์ AirBNB บอกเองว่าเดินผ่านได้ไม่ต้องเสียค่าเข้า) แต่ในอนาคตเค้าอาจจะทำที่กั้นเพื่อบังคับให้จ่ายเงินค่าผ่านทางก็ได้ วันนั้นเราก็ขึ้นลิฟต์ไปตรงด้านบนเขา ซึ่งตรงทางออกลิฟต์ด้านบนก็จะอยู่ตรงหน้าทางเข้าสุสานของเมืองที่เค้าสร้างแบบใหญ่โตโอ่โถงมาก และจากจุดนั้นเราก็จะเห็นวิวของตัวเมืองและทะเลที่สวยมากๆด้วย จากจุดนั้นเราก็เดินตามถนนโบราณลัดเลาะไปตามตึกรามบ้านช่องยุคโบราณที่สวยมากๆลงมายังใจกลางเมืองที่มีโบสถ์ที่สวยงามตั้งอยู่ แล้วก็เดินไปตรงจุดชมวิวที่ยื่นเข้าไปในทะเล จากจุดนั้นเราจะเห็นวิวพาโนรามาของตัวเมืองเต็มๆตา รายล้อมไปด้วยเขาสูง และทะเลรอบๆ ซึ่งเป็นวิวที่สวยมากๆ เห็นแค่นี้ก็กลับบ้านได้เลย 555

เสร็จแล้วยังพอมีเวลาเหลือสบายๆ เราเลยไปขึ้นรถบัสไปยังเมือง Ravello ที่อยู่บนเขาเหนือตัวเมือง Amalfi และ Atrani ระหว่างทางที่รถบัสขึ้นเขา พอมองออกจากหน้าต่างรถขึ้นไปด้านบนเราจะเห็นหมู่บ้านโบราณตั้งเรียงรายกันอยู่ตามยอดเขา เป็นภาพที่สวยมากๆ ในส่วนของตัวเมือง Ravello ก็จะมีที่เที่ยวสองที่ที่ดังๆ คือ Villa Rufolo และ Villa Cimbrone ซึ่งต้องจ่ายค่าเข้าทั้งสองที่ เราเลือกเข้าแค่ที่ Villa Cimbrone เพราะว่าดูจากรูปแล้วสวยดี มันเป็นสวนใหญ่ๆดูมีอะไรให้ดูมากกว่า Villa Rufolo แถมยังเป็นโลเคชั่นถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง Wonder Woman กับ Tenet อีกด้วย ตัว Villa Cimbrone นี้จะอยู่ห่างจากใจกลางหมู่บ้าน Ravello ออกไปหน่อย แต่ทางเดินจากหมู่บ้านไปตัววิลล่าก็สวยเดินเพลิน ทั้งเดินผ่านบ้านสวยๆ และเห็นวิวสวนเลมอนและวิวภูเขาวิวทะเลสวยๆด้วย ตรงปลายสุดของ Villa Cimbrone จะเป็นระเบียงโล่งๆที่ยื่นจากหน้าผาออกไปริมทะเล มองออกไปจะเห็นวิวทะเลสีฟ้ากว้างใหญ่ สวยมาก

หลังจากเที่ยว Villa Cimbrone เสร็จ เราตัดสินใจเดินตามถนนคนเดินเส้นเล็กๆลงมาตามเขาเพื่อกลับที่พัก ตอนแรกนึกว่าทางลงเขา น่าจะสบายๆ แต่ความจริงแล้วไม่สบายเลย เพราะทางชันมาก ส่วนที่เป็นบันไดขั้นบันไดก็ค่อนข้างห่างกัน ทำให้ต้องเกร็งขาระหว่างที่ขาอีกข้างกำลังก้าวอยู่ในอากาศนาน กว่าจะเดินกลับลงมาถึงด้านล่างของเนินเขาได้นี่ขาชาหมดเลยเพราะเกร็งเยอะ ลงเขามาเสร็จกลับบ้านอาบน้ำนอนสลบเลย ไม่กินอะไรแล้ว จบวันที่หนึ่ง เดี๋ยววันต่อๆไปไว้มาต่อในโพสต์หน้า

หนึ่งเดือนผ่านไปในกรุงโรม

รีวิวและอัพเดตชีวิตหลังจากที่มาแลกเปลี่ยนอยู่กรุงโรมได้หนึ่งเดือนแล้ว ช่วงแรกสุดเลยที่มาถึง ทั้งประเทศอิตาลีเป็นโซนสีแดง ล็อคดาวน์ทั้งประเทศ ห้ามออกจากบ้านโดยที่ไม่มีเหตุจำเป็น ผ่านไปประมาณสัปดาห์นึงก็อัพเกรดเป็นโซนสีส้ม ออกจากบ้านได้แต่ออกนอกเมืองไม่ได้ กับสถานที่ท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์ต่างๆปิด ร้านอาหารก็ให้ห่อกลับไปกินบ้านได้อย่างเดียว และล่าสุดตอนปลายเดือนที่แล้วก็อัพเกรดอีกรอบ กลายเป็นโซนสีเหลืองเกือบทั้งประเทศ ก็คือเดินทางข้ามประเทศไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ได้แล้ว ร้านอาหารเปิดให้นั่งกินด้านนอกร้านได้ สถานที่ท่องเที่ยวเปิด พิพิธภัณฑ์เปิด โรงหนังโรงละครเปิด จำนวนคนที่ได้รับวัคซีนรายวันก็น่าจะประมาณครึ่งล้านคนได้ ทุกวันนี้ชีวิตแทบจะกลับมาเป็นแบบปกติแล้ว แค่ทุกคนยังใส่แมสก์กันเกือบตลอดเวลาที่อยู่ข้างนอกอยู่ กับยังมีข้อห้ามนิดหน่อยเช่นในร้านอาหารห้ามนั่งเกินสี่คนต่อโต๊ะ ห้ามยืนจับกลุ่มสุมหัวกันเยอะๆในที่สาธารณะหลังหกโมงเย็น แล้วก็มีเคอร์ฟิวตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีห้า อะไรอย่างงี้ (แต่ว่าถ้าไปเดินแถวย่านที่เที่ยวกลางคืนของนักเรียนนี่ทุกคนแทบจะไม่สนใจกฏอะไรแล้ว ยืนจับกลุ่มยืนคุย ดื่มเบียร์ดื่มไวน์อะไรกันยันสี่ทุ่มกว่าไม่แคร์โลกเลย แต่ก็ไม่มีใครมาจับนะ แต่ตามที่สาธารณะในใจกลางเมืองจะมีตำรวจกับทหารเดินตรวจเยอะอยู่ ถ้าใครเริ่มยืนจับกลุ่มกันใหญ่ๆนานๆ เค้าจะมาเตือน กับถ้าใครไม่ใส่แมสก์ บางทีก็อาจจะโดนเตือนเหมือนกัน)

แน่นอนหลังจากที่เรามาถึงกรุงโรมก็คือออกไปเที่ยวรัวๆเท่าที่จะทำได้ 55 แต่บางทีก็จะมีช่วงที่อากาศหนาว ฝนตกปรอยๆติดกันหลายๆวัน ก็จะอยู่บ้านเรียนออนไลน์กับทำธุระต่างๆไป เราโชคดีอยู่ตรงที่ได้มาเรียนในเทอมที่สอนออนไลน์หมด แถมยังอัดคลิปไว้ให้นักเรียนดูย้อนหลังได้ด้วย ทำให้เราจะเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีเวลาบังคับ แต่ข้อเสียคือมีอยู่วิชานึงที่จนถึงตอนนี้ ทั้งเทอมที่ผ่านมาเราเพิ่งเข้าเรียนไปแค่คาบเดียวเอง แหะๆ คือต้องมีวินัยมากด้วยถึงจะบังคับตัวเองให้เรียนตามให้ทันเรื่อยๆได้ เดือนที่ผ่านมาเรามีกิจกรรมอะไรเยอะมาก ว่าจะเรียนๆย้อนหลังวิชานี้แต่ไม่ได้เริ่มซักที แต่ตั้งแต่ตอนนี้จะโฟกัสกับการเรียนจริงๆจังๆซักทีละ (ขอให้ทำได้จริงเถอะ สาธุ) ในส่วนของการเรียนในมหาลัยที่นี่ เรารีวิวไว้หน่อยนึงแล้วในโพสต์นี้ petchpetals.wordpress.com/2021/04/17/เดินทางถึงอิตาลี-ตรวจโ/ วันนี้จะมาเพิ่มเรื่องการสอบ คือถ้าเป็นที่เยอรมันจะจัดสอบแค่ครั้งเดียวตอนหลังจบเทอม วัดความรู้ที่เรียนมาตลอดทั้งเทอมทีเดียวไปเลย (บางคณะอาจจะไม่เป็นแบบนี้นะ แต่จากประสบการณ์ในคณะวิศวะ ทุกวิชาเลยจะมีสอบแค่ครั้งเดียวตอนจบเทอม) ส่วนที่อิตาลีนี้ ระหว่างเทอมจะมีจัดสอบสองครั้ง เค้าเรียกว่า Midterm กับ Final ซึ่ง Midterm ก็จะครอบคลุมเนื้อหาครึ่งแรกของเทอม ส่วน Final จะครอบคลุมเนื้อหาครึ่งหลังของเทอม นอกจากนี้ก็ยังจะมีการจัดสอบอีกสองครั้งในช่วงปิดเทอมอีกทีให้เลือกเอาได้ว่าอยากจะสอบครั้งไหน ซึ่งข้อสอบตอนช่วงปิดเทอมนี้จะมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งเทอมนั้นเลย ข้อสอบทั้งสามอันนี้เราสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าร่วมการสอบครั้งไหน เงื่อนไขคือต้องทดสอบความรู้ให้ได้ครบทั้งสองพาร์ทของทั้งเทอมนั้น หมายความว่าสมมติว่าตอนระหว่างเทอม เราเข้าสอบทั้ง Midterm กับ Final ก็หมายความว่าเราทดสอบความรู้ของทั้งสองพาร์ทแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าสอบช่วงปิดเทอมแล้ว หรือถ้าระหว่างเทอมเราเข้าสอบแค่ข้อสอบ Midterm ไม่ได้สอบ Final เราก็จำเป็นต้องเข้าสอบช่วงปิดเทอม แต่ว่าจำเป็นต้องทำแค่พาร์ทสองเท่านั้น พาร์ทแรกไม่ต้องทำ อะไรอย่างนี้

วิชาที่เรามาเรียนที่นี่มีสามวิชา คือ “Big Data Analytics”, “Internet of Things” กับคอร์สภาษาอิตาเลียน ซึ่งสามวิชานี้มีหน่วยกิตรวมกันได้เป็น 15 หน่วยกิต ซึ่งเป็นหน่วยกิตขั้นต่ำที่เค้าบังคับให้สอบให้ผ่านเพื่อที่จะให้ได้เงินทุนของโครงการแลกเปลี่ยนมาใช้ ถ้าสุดท้าย สอบผ่านไม่ครบ 15 หน่วย ก็จะต้องจ่ายทุนคืนเป็นอัตราส่วนตามจำนวนหน่วยกิตที่ขาดไป อันนี้เราตั้งใจเลือกเรียนให้น้อยที่สุดเลยจะได้มีเวลาว่างเยอะ 555 ในส่วนของวิชา Big Data Analytics จะแบ่งเป็นสองพาร์ท พาร์ทแรกจะสอนเขียนโปรแกรมภาษา Python แล้วก็จะมีการบ้านให้เขียนโปรแกรมส่งห้าครั้ง แล้วพอจบพาร์ทก็จะให้เขียนโปรแกรมที่หกส่ง เก็บคะแนนจากทุกการบ้านมารวมกันเป็นคะแนน Midterm ส่วนพาร์ทที่สองจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับ Machine learning กับ Data analytics ซึ่งก็มีการบ้านเขียนโปรแกรมภาษา Python ให้ทำส่งเก็บเป็นคะแนนเหมือนกัน ตอนเรียนพาร์ทแรกคนสอนพูดภาษาอังกฤษดีมาก แต่ตอนพาร์ทสองเป็นอีกคนสอน พูดอังกฤษไม่คล่องเท่าไหร่ ทำให้เวลาสอนสดพูดช้ามาก เราเลยไม่เข้าเรียนสด รอดูวิดีโอย้อนหลังแล้วกดเพิ่ม speed เป็นสองเท่าแทน จะกลายเป็นความเร็วคนพูดปกติ 555 วิชานี้เราตั้งใจจะพยายามเรียนตามให้ทันทุกคาบ จะได้สอบไฟนอลให้จบตั้งแต่ตอนจบเทอมตอนปลายเดือนพฤษภาคมไปเลย ไม่ต้องไปรอสอบตอนช่วงปิดเทอมอีกที ส่วนวิชา Internet of Things ก็จะแบ่งเป็นพาร์ทๆเหมือนกัน เราเพิ่งเข้าเรียนคาบแรกที่เป็นคาบแนะนำวิชาคาบเดียว 5555 เค้าบอกว่าช่วงแรกจะมีสอนใช้ภาษา C++ ด้วย แต่เนื้อหาหลังจากนั้นเป็นไงบ้างไม่รู้ ต้องไปเรียนตามหลังก่อน ไว้แลกเปลี่ยนเสร็จแล้วเดี๋ยวจะกลับมารีวิวย้อนหลังละกัน แหะๆ

ในส่วนของคอร์สภาษาอิตาเลียน ตอนช่วงแรกๆปัญหาเยอะมากเพราะมหาลัยไม่บอกซักทีว่าจะจัดสอนเมื่อไหร่ยังไง ในกรุ๊ปแชทของนักเรียนแลกเปลี่ยนมีคนพิมพ์ถามแทบทุกวันว่ามีข่าวบ้างรึยัง สุดท้ายก็สรุปออกมาว่าคนที่เรียนคอร์สระดับต้นๆ เช่น A1 กับ A2 จะไม่มีการเรียนสดแบบตัวต่อตัวกับครู แต่จะมีวิดีโอที่อัดเอาไว้แล้ว กับไฟล์ต่างๆให้โหลดไปอ่านและเรียนเอง เป็นงั้นไป ตอนรู้ตอนแรกก็แอบเซ็งๆ แต่จริงๆมันก็ดีตรงที่เราจะเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ ก็ต้องมีวินัยมากๆอีกเช่นเคย ซึ่ง ณ จุดนี้ ดองคอร์สภาษาไว้เป็นอาทิตย์ๆแล้วเหมือนกัน ฮือ ในส่วนของการสอบคอร์สภาษานี้ ในหน้าของวิชามันจะมีส่วนที่เป็นข้อสอบไฟนอลออนไลน์ให้กดเข้าไปทำได้ ซึ่งเราจะกดเข้าไปทำเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าทำเสร็จแล้วก็คือจบคอร์สเลย แล้วก็อาจจะมีสอบพูดด้วยก็ได้แต่ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด

ในส่วนของชีวิตความเป็นอยู่ก็ไม่มีอะไรหวือหวา หลักๆก็เหมือนเด็กมหาลัยในอีกหลายๆที่ในช่วงโควิด ตื่นนอนอาบน้ำ เรียนออนไลน์ เล่นเน็ตต่างๆนานา คุยกับแฟลตเมตบ้างนิดหน่อย ออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้านมาใส่ตู้เย็นเก็บไว้ทำกับข้าว กับข้าวก็ทำกินเองอยู่บ้าน ที่เพิ่มเติมมาจากนี้ก็คือช่วงไหนว่างๆ นั่งรถเมหรือรถไฟใต้ดินจากบ้านออกไปนิดเดียวก็เป็นสถานที่สำคัญๆระดับโลกของกรุงโรมแล้ว อารมณ์เหมือนกับเรียนหนังสืออยู่บ้านปกติ แล้วเปิดประตูไปไหนก็ได้ของโดเรมอนไปถึงโคลอสเซียม ไปมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์อะไรอย่างงี้เลย เดือนที่ผ่านมาเราซื้อตั๋วรถสาธารณะแบบรายเดือน ราคา 35 ยูโร ใช้ขึ้นรถเมกับรถไฟใต้ดินได้กี่ครั้งก็ได้ตลอดทั้งเดือน แต่ว่าคิดว่าเดือนนี้จะไม่ซื้อแล้วเพราะรู้สึกไม่คุ้ม เพราะว่าที่นี่ตั๋วรถเมกับรถไฟปกติราคาแค่ 1.5 ยูโร (ซึ่งถือว่าถูกมากถ้าเทียบกับค่าตั๋วรถสาธารณะที่เยอรมนี) ซึ่งก็แปลว่าต้องขึ้นรถสาธารณะอย่างน้อย 24 ครั้งในเดือนนั้นถึงจะคุ้มค่าตั๋วรายเดือน แต่รู้สึกว่าเดือนที่ผ่านมาเรานั่งไม่ถึง เพราะว่าก็ไม่ได้ออกเที่ยวทุกวัน แถมสถานที่หลายๆแห่งก็เดินถึงกันได้ ไม่ต้องนั่งรถ ช่วงแรกๆ วันไหนที่อากาศดีก็จะออกไปเที่ยวทั้งวัน ซึ่งเราก็ได้โพสต์รูปในโพสต์ก่อนหน้านี้เยอะแยะมากมาย (แต่เราโพสต์เป็นภาษาอังกฤษเพราะว่ามีคนต่างชาติในเว็บบอร์ดอันนึงรีเควสต์มาว่าอยากเห็นภาพของกรุงโรมในช่วงที่ไม่มีนักท่องเที่ยว) อาหารก็ซื้อจากภัตตาคารมากินซะหลายมื้อเลย อยากลองเมนูต่างๆไปซะหมด ชีวิตดีมาก แต่ซักพักเริ่มตระหนักว่าใช้เงินไปเยอะมาก แล้วก็เริ่มเบื่อาหารอิตาเลียนด้วย กินเมนูซ้ำๆมาหลายรอบแล้ว 555 เลยเริ่มกลับไปเน้นทำกินเอง โชคดีที่แถวบ้านมีร้านขายของเอเชียเลยซื้อวัตถุดิบต่างๆมาทำอาหารไทยได้บ้าง บางทีแฟลตเมทก็มีการนัดกันโทรสั่งอาหารมากินด้วยกันที่บ้านบ้าง แล้วถ้าเป็นวันเกิดใคร คนนั้นก็จะทำอาหารให้ทุกคนกินกันด้วย ตอนนี้ผ่านไปแล้วสองวันเกิด วันเกิดต่อไปคือวันเกิดเราตอนสิ้นเดือนนี้แล้ว ยังไม่รู้เลยจะทำอะไรให้เค้ากิน อาหารของแต่ละคนคืออลังการ แต่ฝีมือทำอาหารของเรายังงูๆปลาๆมาก 555 กลัวขายหน้าจัง 5555

นอกจากนี้ ในเมื่อมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ก็คงจะไม่พูดถึงประสบการณ์การทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ ตอนช่วง welcome days ตอนก่อนเปิดเทอมก็จะมีกิจกรรมพูดคุยทำความรู้จักกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นๆกันผ่าน Zoom แล้วก็กิจกรรมอื่นๆอีกสองสามอย่างที่เราเล่าไปในโพสต์นี้ petchpetals.wordpress.com/2021/03/20/เริ่มต้นชีวิตนักเรียนแ/ ตอนที่เราเดินทางมาถึงกรุงโรม ไม่มีมีกิจกรรมอะไรเพราะว่าในเมืองเป็นโซนสีแดงอยู่ พอปลายเดือนที่แล้วเค้าเปลี่ยนเป็นโซนสีเหลืองแล้วถึงเริ่มจัดกิจกรรมสำหรับนักเรียนแลกเปลี่ยนได้อีกครั้งนึง เดี๋ยวไว้มาเล่าให้ฟังในโพสต์หน้าว่ามีอะไรบ้าง

เดินทางถึงอิตาลี & ตรวจโควิด

สี่วันก่อนวันเดินทางมาอิตาลี เราเดินทางไปค้างที่เบอร์ลินสามคืน ที่มาเมืองนี้เพราะว่าหนึ่ง เที่ยวบินไปกรุงโรมที่บินออกจากเบอร์ลินราคาถูกและวันเวลาลงตัวสุดเลย แล้วอีกอย่างก็จะได้ไปค้างบ้านเพื่อนเก่าแก่สมัยเรียน S

สำหรับการเดินทางข้ามประเทศในช่วงนี้นั้นก็จะมีข้อบังคับนั่นนี่เยอะหน่อยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโควิด แต่ละประเทศก็จะมีข้อบังคับต่างๆกันไป ของประเทศอิตาลีคือก่อนจะบินเข้าประเทศนั้นเราต้องแสดงผลตรวจโควิดที่เป็นลบที่ตรวจภายในระยะเวลา 48 ชั่วโมงก่อนเวลาเดินทางถึงอิตาลี จริงๆช่วงนี้ในประเทศเยอรมันในแต่ละเมืองเค้าจะมีจุดตรวจโควิดแบบเร็วที่รู้ผลภายใน 15 นาทีหลายๆแห่งกระจายๆไปทั่วเมืองและชาวเมืองทุกคนสามารถไปตรวจได้ฟรีถึงสัปดาห์ละครั้ง! แต่ว่าเพราะทะเบียนบ้านเราไม่ได้อยู่ที่เบอร์ลินเราเลยไม่แน่ใจว่าจะไปใช้บริการได้มั้ย กับไม่แน่ใจว่าผลตรวจจากอันนี้สามารถเอาไปใช้แสดงตอนขึ้นเครื่องได้มั้ย เลยไปใช้บริการของ https://www.centogene.com/ ที่สามารถตรวจแบบ PCR ซึ่งมีผลแน่นอนกว่าและสามารถขอให้เค้าใส่ข้อมูลบ่งบอกตัวตนของเราลงไปในผลตรวจได้ด้วย ซึ่งก็จะมีราคาแพงกว่าแต่เพื่อความชัวร์ก็ยอมจ่ายเงินนิดนึง การจะไปตรวจก็ง่ายดาย แค่ไปกรอกๆข้อมูลแล้วก็จ่ายเงินในเว็บแล้วก็เดินไปตรวจที่จุดตรวจของเค้าได้ตลอดเลย ไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า ถ้าเป็นการตรวจแบบ PCR ก็รอภายใน 24 ชั่วโมงเค้าก็จะส่งเมลล์มาบอกว่าผลออกแล้ว ซึ่งก็สามารถกดเข้าไปดูผลในเว็บได้ แล้วก็ปรินท์ออกมาได้ ตอนที่เราไปถึงสถามบินของเบอร์ลิน เค้าจะเช็คด้วยว่าบนผลการตรวจนั้นมี QR Code มั้ย ซึ่งเราก็ไม่ค่อยใจเรื่องเทคนิกแต่มันเหมือนกับว่า QR Code นี้จะเป็นตัวยืนยันว่าผลตรวจนี้เป็นของตัวเราจริงๆ tudienkolleg ที่ปัจจุบันนี้เรียนจบทำงานแล้วด้วย แล้วอีกอย่างก็คืออยากไปเบอร์ลินอีกครั้งก่อนจะต้องจากเยอรมันอะแหละ 55 เบอร์ลินซึ่งเหมือนเป็นบ้านทิพย์ของเรา คือตัวอาจจะไม่เคยอาศัยอยู่เบอร์ลิน แต่ว่าใจครึ่งนึงอยู่เบอร์ลินตลอด 555

ตอนก่อนจะเดินทางมาอิตาลี เราเช็คมาแล้วว่าคนที่เดินทางมาจากประเทศเยอรมัน ถ้ามีผลตรวจโควิดเป็นลบ พอไปถึงแล้วไม่ต้องกักตัว แต่ปรากฏว่าตอนสองสามวันก่อนวันที่เราจะเดินทาง เค้าดันเปลี่ยนกฏเป็นให้กักตัวที่บ้านห้าวัน แล้วก็ต้องไปตรวจโควิดอีกรอบหลังห้าวันผ่านไปด้วย ก็แอบเซ็งเบาๆนะ 555 แต่ก็ไม่เป็นไรเพื่อความปลอดภัยก็ทำตามกฏ แต่ปรากฏว่าพอบินไปถึงสนามบินอิตาลี เจ้าหน้าที่แค่ขอดูใบตรวจโควิดแล้วบอกเราให้กักตัวที่บ้านห้าวันกับไปตรวจอีกทีหลังกักตัว แล้วก็ปล่อยเราเดินไปเฉยๆเลย แล้วก็ไม่มีการเช็คอะไรหลังจากนั้นเลย ผลตรวจโควิดหลังผ่านไปห้าวันก็ไม่มีใครขอดู เหมือนกับว่าใช้หลักความไว้ใจต่อเพื่อนมนุษย์กันเอง 555 เราก็แบบไปขึ้นรถบัสรถใต้ดินสาธารณะเดินทางไปที่พักตามปกติ แล้วก็ออกไปซื้อของกินมาตุนอีกรอบนึงด้วย แต่ว่าหลังจากนั้นก็กักตัวอยู่บ้านนะห้าวัน แล้วพอวันที่ห้าก็ไปตรวจ ซึ่งที่อิตาลีนี้ก็มีจุดตรวจโควิดแบบเร็วกระจายๆไปทั่วเมืองเหมือนที่เยอรมันเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นตามร้านขายยา ร้านไหนที่มีบริการตรวจโควิดก็จะมีเต็นท์หรือว่าตู้คอนเทนเนอร์ตั้งอยู่หน้าร้าน เวลาจะไปตรวจก็เดินไปจ่ายเงินในร้านแล้วก็เดินออกมาตรวจในเต็นท์หน้าร้าน แล้วก็ออกมายืนรอประมาณสิบห้านาทีก็ได้ผล ตอนเราไปตรวจมีคนรอก่อนหน้าแค่สองคน แต่ว่าที่อิตาลีนี้เค้าจะคิดค่าตรวจประมาณครั้งละเจ็ดร้อยบาทนิดๆ ไม่ฟรีสัปดาห์ละครั้งเหมือนที่เยอรมัน แต่ว่าล่าสุดเหมือนเปลี่ยนเป็นให้นักเรียนสามารถตรวจได้ฟรีได้ละ

จุดตรวจโควิดที่ร้านขายยาแห่งหนึ่ง

หลังจากตรวจโควิดรอบที่สองเสร็จ ปรากฏว่าผลออกมาเป็น… ลบจ้าาา โล่งอกไป หลังจากรอมาห้าวัน ในที่สุดก็ออกเที่ยวเมืองได้แล้ว เย่!!! ก่อนหน้านี้เราเคยมาเที่ยวโรมครั้งนึงแล้ว คราวนั้นก็มาช่วงต้นๆเมษาเหมือนกันเลย แต่คราวก่อนที่มานี่นักท่องเที่ยวเยอะมากๆๆๆๆ แบบตามจุดท่องเที่ยวดังๆนี่แทบจะเหยียบกันตาย แต่พอมาครั้งนี้นี่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย แม้แต่ตามจุดท่องเที่ยวดังๆก็แทบไม่มีคน แบบสวรรค์มากๆ เดินเที่ยวเดินดูตามจุดต่างๆได้แบบสบายๆ วันไหนอากาศไม่ค่อยดี ฟ้าครึ้มๆหน่อยนี่ รอบตัวแทบจะมีเราเดินอยู่คนเดียวเลย เดินเที่ยวไปพลางหยิกตัวเองไปพลาง นี่ฉันไม่ได้ฝันอยู่ใช่ไหม

หลังจากที่เดินเที่ยวเกือบเต็มๆวันมาได้สองวัน ก็ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความจริง ก็คือเลคเชอร์ของมหาลัยที่โรมที่ไม่ได้เข้าเรียนมาจะเป็นเดือนแล้ว T-T ก็คือต้องมานั่งดูวิดีโอเลคเชอร์เรียนย้อนหลังตามให้ทันนั่นแหละ (โชคดีที่วิชาที่เราลงเค้าอัดวิดีโอให้ดูย้อนหลังได้) ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว เราเลยได้เดินเที่ยวแค่สองวันเอง แล้วอีกอย่าง ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาฝนตกทุกวันด้วยเราเลยตัดสินใจอยู่บ้านอย่างเดียวดีกว่า แต่ ณ จุดนี้ วิชานึงตอนนี้เรียนย้อนหลังไล่ตามมาทันละ เหลืออีกหนึ่งวิชาที่ยังไม่ได้เริ่ม 555 แต่ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเดียวในอาทิตย์ที่อากาศดี เลยเดี๋ยวว่าจะออกไปเดินเที่ยวซะหน่อย

Roman Forum ที่ไม่มีนักท่องเที่ยวตอนก่อนพระอาทิตย์ตก

มาเม้ามอยมหาลัยนิดนึง มหาลัยที่เรามาเรียนนี้ชื่อว่า Sapienza University of Rome เป็นมหาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโรมแล้วก็เป็นมหาลัยที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะว่าความที่มีนักเรียนเยอะมากๆรึเปล่าเลยทำให้การจัดการแอบงงๆ คือไม่ค่อยแจ้งข่าวอะไรล่วงหน้าเลยแล้วก็ไม่ค่อยมีข้อมูลอะไรให้อ่านเลย อย่างวิชาที่เราลง ในเว็บของหน้าวิชาก็มีแต่ข้อมูลของเทอมที่แล้ว จนวันสองวันสุดท้ายก่อนเริ่มสอนคาบแรกน่ะแหละถึงจะอัพเดต มีบอกวิชาการเข้าเรียนออนไลน์ อะไรอย่างนี้ แล้วก็แต่ละวิชาก็จะมีการจัดการต่างๆกันไป เช่นวิชานึงใช้เว็บนึงสำหรับแจ้งข่าวสาร อัพโหลดไฟล์วิดีโอเลคเชอร์กับส่งงาน ส่วนอีกวิชานึงก็ใช้อีกเว็บนึงสำหรับแจ้งข่าวสารแต่กลับส่งลิงค์ดูวิดีโอเลคเชอร์มาทางอีเมลล์ ส่วนอีกวิชานึงก็ให้นักเรียนไปลงทะเบียน Google Classroom เพื่อใช้เรียน ส่วนอีกวิชาก็ทำทุกอย่างผ่านอีเมลล์ แจ้งข่าว ส่งเอกสารการเรียนการสอนผ่านอีเมลล์ อะไรอย่างนี้ ก็จะงงๆหน่อย ถ้าเป็นมหาลัยที่เยอรมันจากประสบการณ์ที่ผ่านๆมาก็คือทุกวิชาจะใช้เว็บๆเดียวสำหรับแจ้งข่าว ส่งงาน ตั้งกระทู้ถามเรื่องเรียน ฯลฯ อะไรอย่างงี้ไปเลย ก็จะจัดการง่ายกว่า แล้วสิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับมหาลัยที่เยอรมันก็คือแทบทุกวิชาเค้าจะทำตารางเรียนทั้งเทอมล่วงหน้าให้ดูเลยว่าเทอมนี้วันไหนจะสอนเรื่องอะไรบ้าง วันไหนวันหยุด อะไรอย่างนี้ แล้วแทบทุกวิชาจะอัพข้อมูลที่สำคัญๆให้ดูตั้งแต่ก่อนเปิดเทอมหลายอาทิตย์ แล้วข้อมูลทุกอย่างก็จะรวมกันอยู่ในเว็บๆเดียว ทำให้ตัดสินใจง่ายดีว่าวิชาไหนน่าเรียน เทอมนี้จะเรียนวิชาไหนบ้างดีให้จัดตารางแล้วไม่ชนกันอะไรอย่างงี้ มีอีกอย่างที่อยากเม้าของมหาลัย Sapienza ก็คือคอร์สภาษานี่ (เราลงเรียนคอร์สภาษาอิตาลีของมหาลัยไว้ด้วย) จนเปิดเทอมมาเป็นเดือนแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเริ่มเลย แม้แต่ข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สเรียนก็ยังไม่มีให้อ่าน =o=” เหมือนกับเค้ายังตัดสินใจไม่เสร็จว่าจะจัดการยังไงให้สอนในช่วงที่มีโควิดได้ ล่าสุดวันนี้เพิ่งได้เมลล์มาว่าคนที่ลงคอร์สระดับต้นๆ ระดับ A1, A2 (ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น) เค้าจะมีลิงค์สื่อการเรียนมาให้เราเรียนเองแต่จะไม่มีครูสอน =o=” แต่ผ่านไปแค่แป๊บเดียวก็มีอีเมลล์อันใหม่ส่งมาว่าอีเมลล์ก่อนหน้าเป็นข้อผิดพลาด เดี๋ยวจะส่งข้อมูลใหม่มาให้ เป็นงง สรุปว่าตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าคอร์สภาษานี่จะยังไง แต่ยังไงเราก็ต้องเรียน ไม่งั้นหน่วยกิตไม่ครบ ถ้าหน่วยกิตไม่ครบ ก็จะโดนตัดทุนอีก หวังว่าสุดท้ายจะได้เรียนนะ 555

บันไดสเปนที่ไม่มีนักท่องเที่ยว

ก่อนจะจบโพสต์ เดี๋ยวเล่าเรื่องที่อยู่นิดนึงละกัน ที่อยู่ของเราในโรมนี้ก็อยู่ใกล้ๆสวนที่ชื่อ Vittorio Emanuele II ที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟหลัก ซึ่งส่วนตัวเราว่าเป็นทำเลทองเลยนะ คืออยู่ระหว่างใจกลางเมืองกับสถานีรถไฟหลัก ราคาก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับมาตรฐานโรม (เดือนละประมาณ 15000 บาท) แต่ว่าเค้าบอกว่าทำเลใกล้ๆสถานีรถไฟหลักตอนกลางคืนจะแอบน่ากลัวเพราะคนเร่ร่อนเยอะ แต่ก็ไม่รู้จริงแค่ไหนเพราะว่ายังไม่เคยออกจากบ้านช่วงกลางคืนเลย แต่บ้านเราไม่ได้อยู่ใกล้สถานีรถไฟขนาดนั้นก็เลยโอเคอยู่ ในบ้านนี้ก็อยู่กันหกคน อีกสี่คนเป็นนักเรียนมหาลัย สองคนเป็นคนอิตาลี อีกสองคนเป็นคนฝรั่งเศส แล้วก็อีกคนเป็นคนทำงานแล้ว มาจากโรมาเนีย ประเด็นคือทุกคนพูดอิตาลีได้หมดเลย แล้วคนอิตาลีก็เคยเรียนภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียน คนอิตาลีกับคนฝรั่งเศสบางทีเค้าก็จะพูดภาษาแม่ของตัวเองคุยกัน แต่ก็เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย ส่วนคนไทยที่พูดได้แต่เยอรมันกับอังกฤษกับอิตาลีแค่งูๆปลาๆไปนั่งฟังก็เอ๋อ 555 แต่เค้าก็พูดอังกฤษกันได้ดีมากนะ เวลาเราอยู่ด้วยเค้าก็จะพยายามพูดอังกฤษกัน แต่เวลาเค้าพูดอิตาลีเราก็ได้แอบๆฝึกฟังไปด้วย ก็โอเคอยู่ แล้วทุกคนก็เฟรนด์ลี่ ยิ้มแยิ้มแจ่มใสดี เมื่อวันก่อนเป็นวันเกิดของคนๆนึง เค้าก็ทำอาหารเย็นกินด้วยกัน เป็นอาหารฝรั่งเศส มีจานหลัก มีจานของหวาน ก็สนุกสนานเฮฮา บ้านนี้จะมีข้อเสียก็ตรงฝักบัวที่อุณหภูมิน้ำสวิงมาก เดี๋ยวเย็นจัดเดี๋ยวร้อนจัด อาบน้ำไปก็ต้องหมุนปรับอุณหภูมิไปมาไปตลอด เซ็งมากๆ แล้วก็เตาทำอาหารที่นี่จะเป็นเตาแก๊สแบบที่ตอนเปิดเราต้องทั้งบิดเปิดแก๊ส แล้วก็จุดไฟแช็คใกล้ๆเตาพร้อมๆกันไฟมันถึงติดด้วย (ที่เยอรมันจะใช้เตาไฟฟ้าทุกบ้าน ไม่เคยเห็นบ้านไหนใช้เตาแก๊สแบบนี้เลย) ซึ่งสำหรับเราซึ่งเป็นคนที่ไม่เคยจุดไฟแช็คเองเลยมันเป็นอะไรที่น่ากลัวมากๆ ตอนรู้ว่าต้องเปิดเตาแบบนี้นี่แทบล้มทั้งยืน ตอนที่ลองเปิดด้วยตัวเองครั้งแรกสำเร็จนี่รู้สึกราวกับประสบความสำเร็จอะไรซักอย่างในชีวิต 555 ทุกวันนี้ก็เริ่มกลัวน้อยลงกับเริ่มเชี่ยวชาญขึ้นแล้วแต่ก็ยังใจสั่นอยู่ทุกครั้งที่ต้องเปิดเตานี้ 555

ไม่รู้จะเล่าอะไรละ เดี๋ยวจบโพสต์นี้แค่นี้ก่อน พรุ่งนี้จะไปเดินเที่ยว เดี๋ยวอาจจะเอาภาพสวยๆมาลงในโพสต์หน้า แล้วไว้กลับมาเจอกันโนะ

Petch in Italia

สวัสดีตอนเช้าจากกรุงโรม เมืองหลวงของสาธารณรัฐอิตาลี ตอนนี้เรามาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัย Sapienza ในกรุงโรมเป็นเวลาหนึ่งเทอมด้วยโครงการที่ชื่อว่า Erasmus+ ซึ่งเป็นก้าวหนึ่งในชีวิตที่มีความหมายมากๆเพราะถึงแม้ว่าเราจะมาเรียนเมืองนอกที่เยอรมนีได้จะหกปีแล้วแต่การได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนก็เป็นยังหนึ่งในความฝันที่อยากจะทำมาตั้งแต่สมัยเด็กที่ยังไม่เคยได้ทำ แต่วันนี้ในที่สุดมันก็เป็นจริงแล้ว T-T

ต้องบอกว่าชีวิตตั้งแต่ตอนเรียนภาษาช่วงหนึ่งปีก่อนมาเยอรมัน จนมาถึงปัจจุบันนี้ รู้สึกว่าคุ้มค่ามากๆ ได้เห็นโลกกว้าง ได้รู้จักคนมากมาย ได้ทำตามความฝันต่างๆและได้ไปในที่ต่างๆมากมายเกินกว่าที่ตัวเราตอนเด็กที่เป็นเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งจะจินตนาการออก แต่ที่มีวันนี้ได้ต้องขอบคุณพ่อกับแม่ที่ซื้อหนังสือนิทานและเกมภาษาอังกฤษต่างๆมาให้อ่านให้ฟังให้เล่นตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นคนเก่งภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก ที่สั่งซื้อสารานุกรมกับนิตยาสารของ Reader’s digest มาให้อ่าน บวกกับหนัง รายการ และสารคดีต่างๆใน UBC และหนังสือท่องเที่ยวต่างๆด้วยที่ทำให้เรามีความสนใจในประเทศอื่นๆและมีความฝันอยากไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก ขอบคุณพ่อกับแม่ที่ยอมรับการตัดสินใจที่จะออกจากการเรียนหมอ แถมยังสนับสนุนค่าเรียนภาษาเยอรมันที่กรุงเทพทุกเดือนๆทั้งๆที่ก็ไม่ใช่ถูกๆแถมตอนนั้นอนาคตก็ยังไม่ชัวร์ว่าจะติดมหาลัยในเยอรมันมั้ยและจะเรียนจบมหาลัยมั้ย แล้วก็ต้องขอบคุณรัฐบาลเยอรมัน ที่สนับสนุนการศึกษาแก่ทุกคนอย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นคนในชาติหรือคนต่างชาติ ทำให้เราสามารถเรียนมหาวิทยาลัยดีๆได้โดยเสียค่าเรียนแค่ไม่กี่พันบาทต่อเทอมเท่านั้น แถมยังสามารถเข้าร่วมโครงการต่างๆของมหาวิทยาลัยรวมทั้งโครงการแลกเปลี่ยนนี้ได้เหมือนกับว่าเราเป็นนักเรียนชาวเยอรมันคนหนึ่งเลยอีก การเป็นตัวแทนนักเรียนแลกเปลี่ยนของมหาวิทยาลัยในเยอรมันนี้อาจจะฟังดูโก้แต่ว่าสำหรับโครงการ Erasmus+ นี้ ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมเลย

โครงการ Erasmus+ เป็นโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างมหาวิทยาลัยในทวีปยุโรปที่มีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมกว่า 5000 แห่ง ซึ่งมหาวิทยาลัยเหล่านี้ก็จะทำสัญญากันเองว่าจะให้แต่ละคณะสามารถส่งนักเรียนไปแลกเปลี่ยนกันได้เทอมละกี่คนๆ อย่างที่มหาวิทยาลัยเราก็จะมีรายชื่อของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่นักเรียนจากคณะของเราสามารถไปแลกเปลี่ยนได้ประมาณ 140 แห่งในประเทศต่างๆ จำนวนนักเรียนที่รับต่อมหาวิทยาลัยก็มีตั้งแต่หนึ่งคนไปจนถึงสิบคนแล้วแต่มหาวิทยาลัย บางมหาวิทยาลัยก็จะมีคนสมัครเยอะเช่นพวกมหาวิทยาลัยในสแกนดิเนเวียหรือมหาวิทยาลัยในเมืองท่องเที่ยวดังๆ แต่ว่านักเรียนแต่ละคนจะสามารถเลือกสมัครได้สามลำดับ ทำให้สุดท้ายแล้วยังไงแทบทุกคนที่สมัครก็ได้เป็นตัวแทน แค่ว่าจะได้มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งที่เลือกไว้รึเปล่าแค่นั้นเอง และที่สำคัญคือคนที่ได้เป็นตัวแทนไม่ต้องจ่ายค่าอะไรเลยด้วย แถมยังได้เงินมาใช้รายเดือนเดือนละหนึ่งหมื่นถึงสองหมื่นบาทแล้วแต่ประเทศที่ไปอยู่อีก แถมค่าเทอมเทอมนั้นก็ไม่ต้องจ่ายเลยด้วยอีก และจุดนี้เป็นข้อดีมากๆสำหรับนักเรียนจากประเทศเยอรมันเพราะว่าปกติค่าเทอมก็ถูกอยู่แล้ว ถ้าได้เป็นตัวแทนนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการนี้ ก็สามารถเลือกไปประเทศที่ค่าเทอมแพงๆอย่างเช่นประเทศอังกฤษที่เก็บค่าเทอมเป็นล้านแต่ว่าไม่ต้องจ่ายค่าเทอมเลยได้ คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม อย่างเราตอนนี้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนที่ประเทศอิตาลีก็ไม่ต้องจ่ายค่าเทอมเลย ทั้งๆที่ปกติแล้วค่าเทอมที่นี่เทอมละประมาณหนึ่งแสนบาท แถมยังได้เงินจากโครงการมาใช้เดือนละ 14000 บาทอีก มีข้อแม้หลักข้อเดียวคือแค่ว่าเราต้องสอบผ่านเป็นจำนวนวิชาให้ได้ถึงหน่วยกิตขั้นต่ำที่เค้ากำหนดไว้ ไม่งั้นจะต้องจ่ายเงินรายเดือนคืนตามสัดส่วนหน่วยกิตที่ขาด

โครงการ Erasmus+ นี้เป็นอีกหนึ่งการสนับสนุนเรื่องการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในยุโรปที่เรารู้สึกว้าวและอยากให้เห็นเกิดขึ้นที่ไทย เพราะนึกถึงตัวเราตอนเด็ก ถ้าอยากไปแลกเปลี่ยนเมืองนอกก็ต้องสอบโครงการแลกเปลี่ยน แต่ถ้าจะไปจริงๆก็ต้องเสียค่าโครงการแพงๆ ซึ่งก็ไม่มีเงิน ก็อดไปอีก พอมาเจอโครงการ Erasmus+ นี้แล้วรู้สึกว่าการจะได้ไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศสำหรับนักศึกษาที่นี่ทำไมมันช่างเป็นอะไรที่ง่ายดายจัง เหมือนกับการเรียนมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมก็ถูก แถมปัจจัยอื่นๆในชีวิตต่างๆก็มีรัฐบาลช่วยสนับสนุนให้ชีวิตไม่ลำบากเกินไป ทุกคนสามารถเรียนสูงๆได้ อย่างที่บอกตอนแรกว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ รู้สึกว่าชีวิตคุ้มค่า ได้ทำตามความฝันมากมาย ซึ่งถึงมันอาจจะเป็นแค่เรื่องธรรมดาแค่ไปเที่ยวนู่นนี่ แต่มันเป็นสิ่งที่คิดว่าถ้ายังอยู่ที่ไทยคงเกิดขึ้นไม่ได้ง่ายๆเหมือนตอนมาอยู่ที่นี่ เริ่มจากค่าแรงเลย อยู่นี่นักเรียนทำงานออฟฟิศง่ายๆชั่วโมงนึงก็ได้เกือบสี่ร้อยบาทแล้ว เก็บเงินแป๊บเดียวก็ไปเที่ยวได้ถึงไหนต่อไหนแล้ว ขนส่งมวลชนก็ครอบคลุมและสะดวกสบาย จะเดินทางไปเที่ยวที่ไหนก็ขึ้นรถไฟไปได้หมดไม่ลำบาก อยากให้ในอนาคตวันหนึ่ง เด็กทุกคนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงสื่อต่างๆที่หลากหลายและมีสาระที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เค้ามีความฝันได้ และอยากให้เค้าได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่างพอสมควร ให้สามารถเข้าถึงการศึกษา การฝึกฝนหรืออะไรต่างๆที่จะปูทางให้เค้าได้ใช้ความพยายามและศักยภาพของตัวเองในการไล่ตามความฝันได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องมาติดกับดักความจนจมปลักอยู่กับชีวิตที่ลำบาก และที่แอบหวังลึกๆคือหวังว่าในอนาคต เราจะเป็นฟันเฟืองหนึ่ง ที่สามารถทำให้ประเทศไทยไปถึงจุดนั้นได้จริง

เอาเป็นว่าตั้งแต่โพสต์นี้เป็นต้นไป จาก Petch in Deutschland ก็จะกลายเป็น Petch in Italia ไปแล้วนะ 55 เปลี่ยนประเทศบ้างซักสามสี่เดือน ช่วงนี้น่าจะมีเวลาว่างเยอะขึ้น แล้วด้วยความตื่นเต้นกับประเทศใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ด้วยก็อาจจะมีเรื่องเล่ามากขึ้น อาจจะอัพบล็อกบ่อยขึ้น แต่ก็ยังไม่ชัวร์เหมือนกันเพราะถึงจะดูเหมือนว่า วิชาเรียนน้อย (เทอมนี้มีเรียนแค่สามวิชา) แต่ว่าตอนนี้ก็ต้องไปไล่ตามดูคลิปเลคเชอร์เรียนย้อนหลังตั้งแต่ต้นมาจนไล่ถึงปัจจุบันให้ทันก่อน เพราะว่าช่วงเดือนกว่าๆตอนต้นเทอมเรายังอยู่เยอรมันอยู่และยังต้องเตรียมสอบปลายภาคของมหาลัยที่เยอรมันอยู่เลยแต่ว่ามหาลัยที่อิตาลีเปิดเทอมแล้วเลยไม่ได้เข้าเรียนเลคเชอร์ของที่อิตาลีเลย นอกจากนี้ยังต้องเตรียมเขียนจดหมายสมัครฝึกงานที่ต่างๆตอนหลังแลกเปลี่ยนเสร็จอีกด้วย ไปๆมาๆอาจจะไม่มีเวลาว่างเหมือนเดิม 555 ต้องรอดูต่อไป

เริ่มต้นชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ Erasmus+

ในโพสต์ที่แล้วเราเล่าเรื่องเทอมที่เพิ่งจบไปให้ฟังไปแล้ว เดี๋ยวโพสต์นี้จะมาอัพเดตชีวิตหลังจากนั้นต่อ เทอมที่ผ่านมาเราก็ลงเรียนไปหลายวิชามาก ไม่ใช่แค่เลคเชอร์ แต่ยังมีแล็บต่างๆที่ต้องส่งงานมากมาย แบ่งเวลากันหัวหมุนมาก หมายถึงเวลาเรียนหนังสือกับเวลาทำตัวขี้เกียจอะ 5555 แล็บหลายอย่างก็ผ่านไปด้วยดี บางอันก็หวุดหวิดมีต้องแก้ตอนสุดท้ายก่อนจะผ่าน ส่วนสอบ จริงๆตอนแรกวางแผนว่าจะสอบหกวิชา แต่ไปๆมาๆถอนไปสองวิชา กับถอนแล็บไปตัวนึง เพราะช่วงสอบตารางอ่านตารางเรียนต่างๆมันอัดมาก เตรียมตัวไม่ทัน ยอมรับว่าระหว่างเทอมก็แอบขี้เกียจด้วย แต่ว่าที่ถอนไปก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงมาก เพราะยังไงก็เหลืออีกเทอมนึงให้ตามสอบย้อนหลังอยู่แล้ว ซึ่งเทอมหน้านี้เราก็จะไปแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า Sapienza ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ที่เราสามารถเอาหน่วยกิตที่เก็บได้จากการสอบที่นี่ไปใส่แทนหน่วยกิตจากมหาลัยต้นทางที่เยอรมันได้

ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาเราย้ายบ้านไปอยู่บ้านหลังใหม่ในเมืองเดิม เพราะว่าสัญญาเช่าบ้านหลังเก่าหมดอายุ แต่บ้านใหม่นี้ก็คืออยู่แค่เดือนเดียว เพราะเดี๋ยวเดือนหน้าก็จะย้ายไปอิตาลีแล้ว แล้วประเด็นคือบ้านใหม่นี้เนี่ยอินเตอร์เน็ตกากมากๆ ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตอะไรมาก แต่พอดีช่วงนี้มหาลัยจัดสอบแบบออนไลน์เพราะมีโควิด และการสอบออนไลน์ครั้งแรกที่บ้านหลังใหม่นี้ก็คือพัง! เพราะเค้าให้เราเปิดกล้องถ่ายเราตลอดการสอบ แต่ว่าเพราะเน็ตมันกาก ภาพเลยขาดๆหายๆ เดี๋ยวค้างบ้าง เดี๋ยวเน็ตหายบ้าง คนคุมสอบต้องบอกให้เราไปแก้ปัญหาระหว่างสอบถึงสามรอบ ซึ่งเค้าก็ดีที่เพิ่มเวลาสอบให้เราเป็นกรณีพิเศษ แต่ว่าพอมันมีปัญหาระหว่างสอบถึงสามรอบแบบนี้นี่สติสตังเลยกระเจิดกระเจิงไปเลย สอบครั้งนี้ก็คือพังพินาศ ToT แต่คิดว่าไม่น่าจะตก แค่ได้เกรดแย่เฉยๆ แต่ก็นั่นแหละ ระหว่างสอบผ่านครั้งนี้แต่ได้เกรดแย่ กับสอบตกครั้งนี้แล้วไปสอบใหม่เทอมหน้าแบบเกรดดีกว่าเดิม ก็ไม่รู้อย่างไหนจะดีกว่ากันนะ 555 เห้อเศร้า ตอนนี้เหลือสอบอีกหนึ่งวิชาซึ่งก็จะเป็นแบบออนไลน์เหมือนกัน ต้องหาที่นั่งสอบใหม่ละ จะพังอีกวิชาไม่ได้ = =”

ห้องนอนใหม่ชั่วคราว มีเฟอร์นิเจอร์เท่านี่เห็นนี่แหละ แต่ไม่เป็นไร อยู่แค่เดือนเดียว 55

มาเล่าเรื่องของการไปแลกเปลี่ยนดีกว่า โครงการที่เราไปชื่อโครงการ Erasmus (เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Erasmus+ แล้วแต่ขอพิมพ์ว่า Erasmus เฉยๆละกัน) ซึ่งเป็นโครงการที่นักเรียนสามารถไปแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยในประเทศอื่นๆในยุโรปได้เป็นเวลาหนึ่งถึงสองเทอมโดยที่ไม่ต้องเสียค่าเทอมเลย (ค่าเทอมของมหาลัยต้นทางก็ไม่ต้องเสีย) แล้วก็เอาหน่วยกิตที่สอบผ่านระหว่างแลกเปลี่ยนมานับรวมกับหน่วยกิตของมหาลัยต้นทางได้ด้วย ทำให้ไม่เสียเวลาเรียนไปฟรีๆ (แต่อันนี้แล้วแต่วิชา ถ้าเป็นระดับป.โทจะง่ายกว่า แต่ถ้าเป็นระดับป.ตรีจะไม่ค่อยมีวิชาที่เค้าให้เอาหน่วยกิตมาใช้ได้ หรือไม่ก็ต้องทำเรื่องขอยุ่งยาก) แถมยังมีเงินช่วยค่ากินอยู่ให้ด้วย ไม่ได้เยอะมากแต่ว่าก็พอโปะค่าเช่าบ้านได้อยู่ แค่นี้ก็ผ่อนคลายภาระไปได้เยอะแล้ว มหาลัยใหญ่ๆในยุโรปจะเข้าร่วมโครงการนี้เยอะมาก (ไม่แน่ใจว่ามีทุกมหาลัยเลยรึเปล่า) แต่ละคณะของแต่ละมหาลัยก็จะมีรายชื่อมหาลัยต่างชาติที่นักเรียนของคณะนั้นสามารถไปแลกเปลี่ยนได้ต่างๆกันไปแล้วแต่ว่าคณะนั้นของมหาลัยนั้นไปทำข้อตกลงกับมหาลัยต่างชาติแห่งไหนไว้บ้าง บางมหาลัยต่างชาติก็รับนักเรียนแค่สองสามคน บางมหาลัยก็รับเป็นสิบคน แล้วแต่ว่าทางระหว่างมหาลัยนั้นเค้าตกลงกันไว้ว่ายังไง บางมหาลัยคนก็แย่งกันสมัคร บางมหาลัยก็ไม่ค่อยมีคนสมัคร แต่จำนวนนักเรียนที่เค้ารับเข้าโครงการนี้โดยรวมแล้วมีเยอะมากๆ คือใครสมัครก็มีโอกาสได้แน่นอน แค่ว่าจะได้มหาลัยหรือประเทศที่เราเลือกไว้ที่อันดับหนึ่งรึเปล่า (ตอนสมัครสามารถเลือกมหาลัยปลายทางได้สามอันดับ) ยกเว้นแต่ว่าจะเลือกแต่มหาลัยที่คนแย่งกันเยอะๆหมดเลย ถึงจะมีโอกาสไม่ได้

ส่วนตัวเราโชคดีได้มหาลัยอันดับหนึ่งที่สมัครไปเลย ก็คือมหาลัย Sapienza ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี พอเรารู้ผลการสมัครแล้ว ก็จะมีขั้นตอนที่ต้องทำหลังจากนั้นอีกหลายๆอย่าง เช่นต้องกรอกใบสมัครออนไลน์ของมหาลัยในต่างประเทศโดยตรง ต้องเซ็นชื่อในใบสัญญาการรับทุน และที่สำคัญและใช้เวลามากก็คือการกรอกใบสัญญาที่มีชื่อว่า Learning Agreement ซึ่งในใบนี้เราจะต้องกรอกรายชื่อวิชาที่เราตั้งใจจะไปลงเรียนที่มหาลัยในต่างประเทศ แล้วในบางกรณีอาจจะต้องกรอกชื่อวิชาของมหาลัยต้นทางที่มีเนื้อหาคล้ายกับวิชาที่เราจะไปลงเรียนที่มหาลัยในต่างประเทศที่เราอยากจะเอาหน่วยกิตมาแทนที่กันด้วย ซึ่งก่อนที่จะกรอกใบนี้ได้เราก็ต้องไปศึกษาข้อมูลทางฝั่งของมหาลัยปลายทางก่อนว่าแต่ละเทอมเปิดสอนวิชาอะไรบ้าง มีหน่วยกิตเท่าไหร่ สอนเป็นภาษาอะไร รายละเอียดเป็นยังไง มีวิชาไหนน่าสนใจบ้าง ฯลฯ แล้วพอกรอกเสร็จก็ต้องส่งใบสัญญานี้ไปให้หน่วยงานต่างๆของมหาลัยทั้งต้นทางปลายทางเซ็นอีก (แต่ขั้นตอนเหล่านี้อาจจะแตกต่างกันไปแล้วแต่มหาลัย) ขั้นตอนนี้สำคัญเพราะว่าพอเราไปถึงมหาลัยปลายทางแล้ว เราสามารถลงเรียนได้แค่วิชาที่เรากรอกชื่อไปเท่านั้น เค้าเลยจะแนะนำให้เรากรอกลงไปให้มากที่สุดที่จะทำได้ เพื่อว่าสมมติว่าพอไปเริ่มเรียนแล้วมีเหตุที่ทำให้เรียนวิชาบางวิชาไม่ได้ เราจะได้ยังมีตัวเลือกอื่นๆ ไม่งั้นถ้าอยากจะเพิ่มวิชาทีหลังตอนที่ไปเริ่มเรียนที่มหาลัยปลายทางแล้ว เราต้องกรอกใบสัญญาอันนี้แล้วก็ส่งไปให้หน่วยงานนั้นนี้เซ็นใหม่ เสียเวลาไปอีก ในส่วนของหน่วยกิตที่ต้องเก็บระหว่างที่ไปแลกเปลี่ยนนั้นเค้ากำหนดให้ขั้นต่ำเป็น 15 หน่วยกิต ก็ตีเป็นสามวิชาโดยประมาณ ซึ่งก็สบายๆ ปกติแล้วคนที่ยุโรปนี่จะรู้กันดีว่าคนที่ไปแลกเปลี่ยนโครงการ Erasmus นั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เน้นไปเรียนกันหรอก เน้นไปปาร์ตี้ ไปเที่ยวกันมากกว่าอยู่แล้ว 5555

ถึงเน็ตที่บ้านใหม่จะกากแต่ว่าตึกรามบ้านช่องแถบนี้สวยมากๆ สวยสุดในเมืองเลยก็ว่าได้

ระหว่างที่กรอกใบสมัคร กรอกใบสัญญาต่างๆนานา เราก็จะทยอยๆได้อีเมลล์จากทั้งมหาลัยของเรา และมหาลัยในต่างประเทศมาเรื่อยๆเพื่อแจ้งข่าวและกำหนดการต่างๆ พอส่งเอกสารทุกอย่างแล้ว ได้รับการยืนยันแล้ว ก็รอเดินทางได้เลย ขั้นตอนสำคัญต่อไปก็จะเป็นการหาที่อยู่ในต่างประเทศแล้ว ในขั้นตอนนี้บางมหาลัยก็จะช่วยจัดการให้ บางมหาลัยก็ไม่ ส่วนมหาลัยเรามีหอนักเรียนสองสามแห่งให้ แต่ว่าทำเลไม่ค่อยดี อันที่ทำเลดีก็แพง ไม่ก็เป็นหอหญิงล้วน ไม่ก็ต้องอยู่ยาว เราเลยลองหาที่อยู่เอาเอง จริงๆมันจะมีเว็บอยู่สองสามเว็บที่เค้ารวบรวมห้องเช่าในเมืองต่างๆสำหรับนักเรียนต่างชาติไว้และมีบริการคอยดูแลเรื่องสัญญาเช่ากับเรื่องการจ่ายเงินอะไรอย่างนี้ให้เราด้วย เช่นเว็บ https://www.spotahome.com/ กับเว็บ https://www.uniplaces.com/ แต่เว็บพวกนี้จะเก็บค่าบริการแพงมาก คือประมาณ 170 ยูโร หรือประมาณหกพันกว่าบาท เราเลยลองไปหาในกรุ๊ปต่างๆในเฟสบุ๊คดูก่อน บางกรุ๊ปเราลองโพสต์ดูด้วย ซึ่งก็มีคนตอบกลับมาล้นหลามมาก แต่คุยไปคุยมา ปรากฏว่าเป็นมิจฉาชีพเกือบหมดเลย – -” คือส่งรูปไม่ก็ส่งวิดีโอปลอมๆของตัวห้องมาให้ดูแล้วก็ให้เราโอนค่าเงินมัดจำแพงๆเป็นค่าจองห้องไปให้ ซึ่งเราก็จะตรวจสอบโดยการขอโทรวิดีโอแชทกับคนที่อาศัยอยู่ในห้องนั้นอยู่ตอนนี้ พอเจออย่างนี้คนที่เป็นมิจฉาชีพก็จะบ่ายเบี่ยง ไม่ก็จะเงียบหายไป จนตอนหลังเราก็ลองกดไปดูใน Marketplace ใน Facebook แล้วก็ไล่พิมพ์แชทไปหาคนที่ประกาศให้เช่าห้องที่เราสนใจเอาเองเลย จนสุดท้ายเราก็ได้ห้องมาจากวิธีการนี้แหละ ก็คือโทรวิดีโอแชทกับคนที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนท์นั้นตอนนั้น ขอดูห้องดูอพาร์ตเมนท์ว่าหน้าตาเหมือนในรูปกับวิดีโอที่คนประกาศให้เช่าส่งมาให้ดูมั้ย แล้วก็ขอดูวิวจากอพาร์ตเมนท์ว่าเหมือนกับวิวใน Google Street View ด้วยมั้ย แล้วก็ถามตอบต่างๆแบบสดๆผ่านทางวิดีโอแชทเรียบร้อย แต่ทีนี้พอตอบตกลงแล้วเค้าก็ขอให้เราโอนเงินค่าจองไปก่อนเป็นจำนวน 100 ยูโรหรือประมาณ 3600 บาท ซึ่งนี่ก็โอนไปนะ 555 จริงๆแอบกลัวว่าจะโดนหลอกเหมือนกัน แต่ว่าถึงขนาดโทรคุยวิดีโอแชทสดๆขนาดนี้แล้ว แถมให้เบอร์คนอื่นๆที่อาศัยอยู่ที่นั่นตอนนี้มาด้วยแล้ว ถ้าจะโกงกันได้แนบเนียนขนาดนี้ก็เอาเงินไปเถอะ 555 แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะตอนนี้เราก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น จะไปดูห้องด้วยตัวเองก็ไม่ได้ ปกติแล้วคนที่ไปแลกเปลี่ยนเค้าจะไปอยู่โฮสเตลช่วงสัปดาห์แรกๆแล้วก็ใช้ช่วงเวลาระหว่างนั้นตะลอนไปหาดูที่พักระยะยาวด้วยตัวเองกัน ก่อนจะตัดสินใจเช่า แต่เราทำอย่างนั้นไม่ได้ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ด้วยโควิดด้วย ก็เลยต้องเสี่ยงดวงเบาๆอย่างนี้ดู สรุปว่าจะโดนหลอกมั้ย แล้วตัวอพาร์ทเมนต์จริงๆจะถูกใจเรามั้ย ต้องมาติดตามดูในอนาคตต่อไปกัน

รูปต้อนรับนักเรียนแลกเปลี่ยนจากเว็บของมหาลัย

ช่วงสองสามสัปดาห์ก่อนเปิดเทอม มหาลัยจะจัดกิจกรรมรับน้องสำหรับนักเรียนต่างชาติ ซึ่งในปีนี้ก็ยังมีจัดอยู่ แต่เพราะมีโควิด ก็เลยเป็นกิจกรรมแบบออนไลน์แทน ก็คือมีการฟังอธิการบดีพูดต้อนรับผ่าน Zoom แล้วก็จะมีพิธีต้อนรับของแต่ละคณะแยกกันไปต่างหากด้วย ซึ่งก็จะมีการอธิบายเรื่องสำคัญต่างๆเกี่ยวกับการเรียนการสอน การเข้าเรียน การลงทะเบียนสอบ การหาตารางเรียน ฯลฯ อะไรพวกนี้ด้วย แล้วนอกจากนั้น สำหรับมหาลัยเรา ในอาทิตย์แรกจะมีกิจกรรมออนไลน์ที่จัดโดยนักเรียนกันเองอีกสองกิจกรรม กิจกรรมแรกคือการทำความรู้จักกันผ่าน Zoom ซึ่งก็จะมีการแบ่งเป็นห้องเล็กๆให้แต่ละคนทำความรู้จักกับคุยจิปาถะต่างๆ แล้วก็สลับห้องกันไปเรื่อยๆ โดยที่แต่ละห้องก็จะมีนักเรียนของมหาลัยเจ้าภาพประจำอยู่ให้ถามนู่นถามนี่ได้ แล้วอีกกิจกรรมหนึ่งก็คือการสอนทำอาหารแบบ Live ทาง Instagram โดยที่นักเรียนของมหาลัยเจ้าภาพเป็นคนสอน ซึ่งเมนูที่เค้าสอนในวันนั้นก็คือสปาเกตตี้คาร์โบนาร่า (เอาจริงๆคือเป็นเมนูที่เบสิกมาก ทำง่ายมาก แอบคิดในใจว่าคนที่มาจากยุโรปน่าจะทำเป็นกันหมดอยู่แล้วมั้ย 5555) นอกจากนั้นก็มีกิจกรรมที่จัดแบบออกมาเจอกันจริงๆจังๆเหมือนกัน เช่นกิจกรรมออกกำลังกายร่วมกัน แล้วก็กิจกรรมพาทัวร์เมืองกับกิจกรรมพาไปกินอาหารร้านดังที่จัดกันทุกอาทิตย์เลย เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ แต่มีจำนวนที่จำกัด ต้องจองล่วงหน้า เพราะว่ามีจำนวนคนเยอะๆไม่ได้เพราะโควิด แล้วก็ต้องใส่หน้ากากด้วย แล้วก็จะมีกรุ๊ปใน Facebook แล้วก็กรุ๊ปแชทต่างๆใน Whatsapp ซึ่งก็มีกรุ๊ปหลักของนักเรียนแลกเปลี่ยนทุกคน แล้วก็มีกรุ๊ปแชทย่อยแยกไปตามคณะด้วย แล้วใน Instagram ของหน่วยงานที่จัดการต้อนรับนักเรียนแลกเปลี่ยนของโครงการ Erasmus ของมหาลัยนี้ก็จะคอยอัพรูปจากกิจกรรม แล้วก็อัพเดตข่าวสารกิจกรรมต่างๆผ่านทางโพสต์กับทางสตอรี่ไอจีเป็นระยะๆ เห็นทีไรแล้วคันไม้คันมือ อยากไปร่วมมากๆ ใจจะขาดแล้ว แต่ว่าตอนนี้เรายังไปไม่ได้ ยังอยู่ที่เยอรมันอยู่เพราะจะรอสอบให้เสร็จทุกวิชาก่อน T.T

หลังจากกิจกรรมรับน้องแบบออนไลน์จบไปประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์ มหาลัยก็เปิดเทอมอย่างเป็นทางการ ซึ่งเทอมนี้การเรียนการสอนก็จะมีทั้งแบบเรียนสดและแบบถ่ายทอดสดออนไลน์ผ่าน Zoom หรือโปรแกรมอะไรก็แล้วแต่ที่แต่ละภาควิชาจะจัดการกันเอง (แอบงงๆ… มากๆ) ที่มหาลัยนี้จะมีเว็บ E-learning ของมหาลัย ซึ่งตามปกติจะเป็นเว็บที่อาจารย์จะใช้อัพโหลดเอกสารการเรียนการสอนและแจ้งข่าวต่างๆ เป็นที่ให้นักเรียนอัพโหลดการบ้าน และยังมีเว็บบอร์ดให้นักเรียนตั้งกระทู้ถามเรื่องเกี่ยวกับวิชานั้นๆได้ด้วย (ที่มหาลัยในเยอรมันก็มีเว็บแบบนี้) พอช่วงนี้มีเรียนออนไลน์ บางวิชาก็จะอัดวิดีโอจากการสอนสดมาอัพโหลดลงในนี้ให้นักเรียนสามารถดูเลคเชอร์ย้อนหลังได้ ส่วนใครที่อยากเรียนสด เค้าก็จะมีการแบ่งเป็นอาทิตย์ๆ อาทิตย์นี้คนที่เลขประจำตัวนักเรียนลงท้ายด้วยเลขนี้ๆมีสิทธิ์ลงทะเบียนขอไปเรียนสดได้ อะไรอย่างนี้ แต่ว่าก็ไม่ได้สามารถไปได้ทุกคน คนที่มีสิทธิ์ก็ต้องลงทะเบียนก่อนถึงไปเรียนสดได้ ถ้าลงทะเบียนช้า ที่เต็มก่อน ก็อดไป

การเรียนที่ประเทศอิตาลีนี้ แต่ละคาบจะสอนกันยาวๆสองสามชั่วโมงไปเลยจุกๆ แต่ว่าปกติแล้วอาจารย์ผู้สอนจะมีพักครึ่งประมาณสิบห้านาทีระหว่างสอนให้ด้วย แล้วประเพณีอย่างหนึ่งของประเทศนี้คือเค้าจะไม่เริ่มเรียนตรงเวลาเป๊ะๆ แต่จะเลทไปสิบห้านาที ก็คือสมมติว่าถ้าตารางสอนบอกว่าวิชานี้เริ่มเรียนสิบโมงตรง กว่าอาจารย์จะเริ่มสอนจริงๆก็ตอนสิบโมงสิบห้านาที

จนถึงตอนนี้ นับตั้งแต่เปิดเทอมมาก็ผ่านมาประมาณสามสัปดาห์ละ ตอนนี้เรายังอยู่ที่เยอรมันอยู่เพราะว่าอยากจะสอบอีกวิชาให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปอิตาลี กะว่าอดใจรอไว้ก่อน เดี๋ยวจะไปร่วมกิจกรรมกับเค้าตอนเดือนเมษาให้เต็มที่เลย ปรากฏว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อ่านข่าวว่าบอกว่ากรุงโรมจะปิดเมืองล็อคดาวน์อีกครั้งจนถึงต้นเดือนเมษาแล้วค่อยดูสถานการณ์อีกที นี่นั่งเหม่อเลย จะยังไงต่อล่ะนี่ ถ้าเค้าเลื่อนล็อคดาวน์ออกไปอีก จากที่ตั้งใจจะไปเที่ยวไปร่วมกิจกรรมให้เต็มที่ ก็จะกลายเป็นต้องไปล็อคดาวน์อยู่บ้านตลอดทั้งวันทั้งคืนล่ะสิทีนี้ เห้อ เศร้า ไม่ได้กลัวไวรัสหรอกนะ กลัวไม่ได้ออกไปเที่ยวมากกว่า 555 จริงๆจุดนี้นักเรียนแลกเปลี่ยนหลายๆคนคือเตรียมบินกลับบ้านเกิดกันแล้ว เพราะว่าหลายๆคนก็เป็นคนยุโรปอยู่แล้วและคิดว่าถ้ามาแลกเปลี่ยนแต่ทำได้แค่อยู่บ้านอย่างเดียวก็ขอกลับประเทศดีกว่า แต่สำหรับเรา จุดนี้คือถอยกลับไม่ได้แล้ว บ้านที่เยอรมันก็ไม่มีแล้ว ยกเลิกสัญญาไปหมดแล้ว บ้านที่อิตาลีก็อุตส่าห์หาได้แล้วแถมจ่ายค่าจองไปแล้วอีก แถมการได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ Erasmus นี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราอยากทำมานานมากแล้วด้วย ในเมื่อมาไกลขนาดนี้แล้ว ก็ต้องไปต่อให้สุด ถึงจะเลื่อนล็อคดาวน์ไปอีกยาวๆ อย่างน้อยก็คิดซะว่าเปลี่ยนที่ล็อคดาวน์จากเยอรมันเป็นอิตาลีแทน อย่างน้อยก็คงได้ซึมซับบรรยากาศอะไรบ้างแหละ 555 แต่ยังไงก็ขอให้ล็อคดาวน์จบเร็วๆเถอะ ขอให้ได้เที่ยวอะไรบ้าง และที่สุดเลยคือขอให้โควิดจบเร็วๆเทอะ ฉีดวัคซีนกันให้เสร็จเร็วๆ โลกเราจะได้เดินหน้าต่อกันได้ซักที เอาล่ะรู้สึกว่าโพสต์นี้เริ่มยาวละ เดี๋ยวจบแค่นี้ก่อน ไว้พบกันใหม่ในโพสต์หน้า ซึ่งอาจจะเป็นโพสต์ที่เขียนจากอิตาลีแล้วก็ได้ เฮ่!

ศาลากลางเมือง Aachen หลังหิมะตก นี่อาจจะเป็นฤดูหนาวครั้งสุดท้ายของเราในเมืองนี้ก็ได้