อพยพไปเนเปิลส์

ช่วงเดือนสุดท้ายของเราในกรุงโรมเป็นช่วงที่ต้องเตรียมสอบวิชาสุดท้ายที่น่ากลัวมากเพราะเนื้อหาเยอะมากและเคยเข้าเรียนแค่ครั้งเดียว 5555 ต้องไปตามไล่อ่านเองหมดเลย ซึ่งนั่นหมายความว่าอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่จำเป็นพิเศษในช่วงนั้น (แต่จริงๆก็จำเป็นตลอดแหละ 555) แต่อยู่มาวันหนึ่ง อยู่ดีๆไวไฟที่บ้านที่โรมก็ใช้ไม่ได้ขึ้นมา ตอนแรกก็นึกว่าผ่านไปซักคืนนึงแล้วเดี๋ยวจะกลับมาใช้ได้อีกเพราะว่ามันเคยเกิดขึ้นแล้วครั้งนึง แต่ปรากฏว่าผ่านไปสองสามวันแล้ว ไวไฟก็ยังใช้ไม่ได้ เรากับแฟลตเมตเลยส่งข้อความไปบอกเจ้าของห้องเช่า ซึ่งเค้าก็บอกว่าเดี๋ยวจะติดต่อช่างให้ แต่ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ถามกี่ทีๆเค้าก็บอกแต่ว่าติดต่อช่างไปแล้วแต่เค้าบอกแต่ว่าเดี๋ยวจะนัดอีกทีวันหลัง เราเลยเริ่มกระวนกระวายว่าแล้วเมื่อไหร่จะมีอินเตอร์เน็ตใช้ ไหนจะต้องเตรียมตัวสอบอีก ระหว่างนั้นก็ออกไปอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟแถวบ้านบ้าง แต่ร้านที่นั่นก็ปิดเร็ว ไม่มีร้านหรือพื้นที่สาธารณะสำหรับอ่านหนังสือหรือทำงานที่เปิดยาวๆเหมือนที่ไทย พอเย็นหรือค่ำๆก็ต้องกลับมาบ้านแล้ว แล้วสำหรับเราแล้ว อ่านนอกบ้านไม่มีสมาธิเท่าอ่านในบ้าน และนอกจากนั้น เวลาไปอ่านร้านนอกบ้านก็ชอบอดใจไม่ไหว สั่งอาหารกลางวันหรืออาหารเย็นมากิน เสียตังเพิ่มไปอีก 555 ผ่านไปอย่างงี้สองสามวัน จนมาถึงจุดนึงเลยคิดว่าต้องหาที่อพยพไปใช้เน็ตแล้ว เลยลองเข้าเว็บ AirBnB หาที่พักราคาถูกๆระหว่างช่วงที่ต้องอ่านหนังสือสอบไปจนถึงวันที่สอบเสร็จ กับกด join กรุ๊ปสำหรับหาบ้านตามเมืองต่างๆในอิตาลีแล้วก็เข้าไปโพสต์หาที่พักราคาถูกช่วงสั้นๆ ไปๆมาๆสรุปว่ามีคนนึงทักมาจากเมืองเนเปิลส์ว่ามีห้องราคาถูกให้เช่า เป็นห้องในอพาร์ตเมนท์แชร์ห้องน้ำห้องครัวกับแฟลตเมทอีกสามคน แนบรูปมาให้ด้วยแล้วก็บอกว่าราคาแค่ 10 ยูโรต่อวันเท่านั้น ซึ่งถูกกว่าราคานอนหอรวมในโฮสเตลไปอีก คิดอยู่คืนนึงแล้วก็ตกลงไป แล้วก็เก็บกระเป๋า วันต่อมาก็ออกเดินทางโลด นั่งรถไฟแต่เช้าตรู่ไปยังเนเปิลส์แล้วก็เดินทางไปยังที่อยู่ที่เค้าให้มา นัดเจอกับเจ้าของห้องเช่าตรงคาเฟ่หน้าทางเข้า เค้าสั่งพิซซ่าจากคาเฟ่มาให้กินฟรีแล้วก็ชวนคุยนิดหน่อย เราก็คุยกับเค้าด้วยทักษะภาษาอิตาเลียนแบบงูๆปลาๆ

จัตุรัส Piazza dei Martiri หน้าที่พัก

เสร็จแล้วก็เดินขึ้นไปยังตัวห้องเช่า พอเข้าไปเห็นสภาพจริงแล้วช็อคไปห้าวิเพราะสภาพเหมือนไม่ได้ทำความสะอาดมานานแล้ว ตรงบริเวณครัวคือคราบอะไรเต็ม แล้วก็มีกองจานชามที่ยังไม่ได้ล้างกองเพียบ ในส่วนของห้องน้ำก็ใส่รองเท้าเดินกันจนพื้นกระเบื้องสกปรกไปหมด แถมยังมีของจุกจิกวางรกไปหมด ฝาชักโครกอันที่ไว้รองนั่งก็หักตรงปลายที่เชื่อมกับตัวชักโครก เวลานั่งชักโครกต้องนั่งนิ่งๆ ไม่งั้นเดี๋ยวฝามันไหลตก ตรงแกนประตูเลื่อนของห้องฝักบัวก็หัก ต้องค่อยๆเลื่อนถึงปิดเปิดประตูได้ อ่างล้างหน้าก็มีคราบดำๆดูแล้วสยองมาก ในส่วนของห้องนอนเรานั้นสภาพโอเคหน่อย เตียงนอนใหญ่ มีหมอนผ้าห่มอะไรให้ แต่เฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นนี่ต้องมีบางส่วนที่หักๆพังๆซักจุดทุกชิ้นเลย แล้วก็ไม่มีหน้าต่าง มีแต่ช่องระบายอากาศเล็กๆกับพัดลมระบายอากาศ ในห้องน้ำมีอ่างล้างหน้าอันนึง อันนี้ดี และนอกจากนี้ก็ยังมีฝักบัวด้วย (อันนี้แปลกมาก ฝักบัวตั้งอยู่ในห้องนอน) แต่เค้าบอกว่าฝักบัวพัง ให้ใช้ฝักบัวในห้องน้ำ โดยรวมแล้วห้องนอนก็โอเคอยู่ แต่ห้องน้ำนี่แอบไม่โอเค แต่ว่าก็ยังพอรับได้ และไหนๆก็มาแล้ว ก็เลยตกลงเช่าห้องสิบวัน ตกลงเสร็จเค้าก็เขียนสัญญาเช่าเซ็นให้ แล้วเราก็จ่ายค่าเช่า ระหว่างนั้นแฟลตเมทสองคนก็ออกมาแนะนำตัว คนนึงเป็นผู้ชายชาวอเมริกันที่พูดภาษาอิตาเลียนได้และทำงานอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติที่นี่ อีกคนเป็นผู้หญิงชาวอินเดียที่มาเรียนปริญญาโทอยู่ที่นี่ ทั้งสองคนเป็นมิตรและยิ้มแย้มแจ่มใสมาก ถ้าจะให้บอกว่าอะไรเป็นจุดที่ดีที่สุดของห้องเช่าที่นี่ก็คงเป็นแฟลตเมทสองคนนี้แหละ (ส่วนแฟลตเมทอีกคนไม่เคยเห็นหน้าเลย) ถึงบ้านจะสกปรกหน่อย แต่ถ้าแฟลตเมทเป็นมิตร ก็ยังดีกว่าอยู่บ้านที่สะอาดๆแต่แฟลตเมทไม่ดี อย่างที่เค้าบอกว่าคับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยากจริงๆ อ้อ อีกสิ่งที่ห้องที่นี่มีให้ แต่ห้องที่โรมไม่มี คือพัดลม ซึ่งสำคัญมากๆ เพราะตอนนั้นเป็นฤดูร้อนที่อากาศค่อนข้างร้อนมาก ถึงพัดลมที่เค้ามีให้จะไม่มีตะแกรงปิดด้านหน้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีพัดลมเลย 5555

หลังจากเซ็นสัญญาและเก็บข้าวของเรียบร้อย แฟลตเมทชาวอเมริกันที่ชื่อ Michael ก็ชวนเรากับแฟลตเมทชาวอินเดียที่ชื่อ Niha ไปกินพิซซ่าร้านใกล้ๆ เพราะว่าเราเพิ่งมาใหม่ทั้งสองคน Niha ก็เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน Michael บอกว่าเดี๋ยวมื้อนี้เค้าจะเลี้ยงด้วย ใจดีมาก เราก็ตกลงออกไปกัน แล้วก็เดินไปที่ร้านพิซซ่าใกล้ๆที่อยู่ริมหาดของของเมืองเนเปิลส์ ร้านนี้ชื่อว่าร้าน Gino Sorbillo Lievito Madre al Mare ที่ Michael บอกว่าเป็นหนึ่งในร้านพิซซ่าที่อร่อยที่สุดในเมืองเนเปิลส์ มื้อนั้นเราก็สั่งเมนู Pizza Margherita ซึ่งเป็นเมนูคลาสสิกที่เป็นพิซซ่าใส่ซอสมะเขือเทศ ชีสมอสซาเรลลา และใบบาซิลมา พอได้กินก็ตกหลุมรักเลย คือก่อนหน้านี้เราไม่ได้ชอบกินพิซซ่าซักเท่าไหร่เลย แต่พอได้มากินพิซซ่าที่เมืองนี้คือมันไม่เหมือนที่อื่น ปกติพิซซ่าตามร้านทั่วๆไปในยุโรปแป้งมันจะบางๆกรอบๆ แต่แป้งพิซซ่าสูตรของเมืองเนเปิลส์ หรือที่เค้าเรียกกันว่า Napoletana Pizza แป้งมันจะหนานุ่ม แล้วกลิ่นก็จะหอมและรสจะต่างจากแป้งพิซซ่าทั่วๆไป และอร่อยกว่าด้วย ตอนแรกเรานึกว่าจะไม่ชอบ เพราะเราชอบกินหน้าพิซซ่ามากกว่าแป้ง แต่พอได้มากินจริงๆแล้วชอบมากๆ ตัวแป้งอร่อยมากๆ ระหว่างที่เดินๆอยู่ในเมืองเนเปิลส์นี้ ถ้าเดินไปใกล้ๆร้านพิซซ่าร้านไหน กลิ่นหอมๆของแป้งพิซซ่าที่กำลังถูกอบจะลอยมาเตะจมูกก่อนเลย แค่ได้กลิ่นก็ฟินแล้ว จริงๆแล้วเมืองเนเปิลส์นี้เป็นเมืองต้นกำเนิดของพิซซ่าเลยด้วย แล้วชื่อเสียงความอร่อยของพิซซ่าของเมืองนี้ก็ยังคงยืนยงคงกระพันสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งพอเราได้มาลองลิ้มชิมรสกับตัวเองแล้วก็ต้องขอยืนยันว่ามันอร่อยสมชื่อจริงๆ จากคนที่เฉยๆกับพิซซ่า กลายเป็นคนที่ชอบกินพิซซ่าไปเลย! แต่ว่าจุดที่น่าเศร้าก็คือว่า หลังจากที่เราเดินทางออกจากเมืองเนเปิลส์มาแล้ว เราก็ยังไม่เคยเจอพิซซ่าที่อร่อยเท่าพิซซ่าในเมืองนี้อีกเลย ToT ไม่ได้พูดเล่น อันนี้คือความรู้สึกจริงๆ อีกจุดที่น่าเศร้ายิ่งขึ้นคือพิซซ่าในเมืองเนเปิลส์ ถึงรสชาติจะอร่อยมากๆและขนาดจะใหญ่มากๆ แต่ราคากลับถูกสุดๆ ยกตัวอย่าง Pizza Margherita ราคาแค่สามยูโรเท่านั้น พิซซ่าในเมืองอื่นๆรสชาติสู้ก็ไม่ได้ แถมราคายังแพงกว่าอีก อันนี้ทำให้ทุกวันนี้เราคิดถึงพิซซ่าในเมืองเนเปิลส์มากๆๆ

หลังจากวันแรกที่มาถึงเมืองเนเปิลส์ เราก็เน้นอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านเป็นเวลาเก้าวันก่อนสอบ ในช่วงเก้าวันนี้ก็มีออกไปเดินเที่ยวเมืองบ้าง แต่ก็ไปแค่โซนใกล้ๆช่วงที่ออกไปหาข้าวกลางวันหรือข้าวเย็นกินอะไรอย่างงี้ ตรงใกล้ๆที่ๆเราพักจะมีร้านพิซซ่าเล็กๆที่อยากแนะนำ ชื่อว่าร้าน “A ogge a 8” ที่เป็นร้านข้างทางเล็กมาก หน้าร้านและในร้านมีโต๊ะสำหรับนั่งกินแค่ไม่กี่ตัว แต่ว่าพิซซ่าที่นี่นั้นรสชาติอร่อยมากๆๆๆๆ และขนาดใหญ่มากๆๆๆด้วย แบบเห็นแล้วช็อค แต่ก็ราคาถูกมากๆ แบบราคาตั้งแต่ 2.5 ยูโรไปจนถึงเกือบสิบยูโรแล้วแต่หน้าที่เลือก แล้วเค้ามีหน้าให้เลือกเยอะมากๆๆด้วย เราลองไปสี่หน้าได้ ถ้าอยู่นานกว่านี้ก็จะลองมากกว่านี้ 555 แต่หน้าที่ชอบเป็นพิเศษคือหน้า Limone ที่เป็นครีมเลมอน โรยเปลือกเลมอนและพริกไทยแดงเม็ดๆ เป็นหน้าที่แปลกและไม่เคยเห็นที่อื่นเลย แต่อร่อยมากๆ ต้องลองจริงๆ พิซซ่าที่ร้านนี้เค้าจะเสิร์ฟแบบไม่ให้มีดกับส้อมมา แต่เค้าจะตัดแบ่งพิซซ่าเป็นส่วนๆมาให้ แล้วเวลากินคือเราจะหยิบแต่ละส่วนมา แล้วก็พับครึ่ง แล้วก็กินกับมือแบบนั้นเอา ซึ่งจะฟินกว่ามานั่งรอหั่นทีละชิ้นๆมากๆ เอามือพับหยิบเข้าปากกัดเอาเลย อร่อย เจ้าของร้านบอกว่าวิธีกินแบบนี้แหละเป็นวิธีกินพิซซ่าแบบชาวเมืองเนเปิลส์ ร้านนี้ตั้งอยู่บนถนน Via Chiaia ซึ่งเป็นถนนคนเดินสายชอปปิ้งชื่อดังเส้นหนึ่ง ใครไปก็แวะไปกินได้ อันนี้ไม่ได้ค่าโปรโมตนะ 555 แต่มันอร่อย และถูก และให้เยอะจริงๆเลยต้องบอกต่อ

ถนน Via Chiaia และพิซซ่าร้าน “A ogge a 8”

ระหว่างที่เช่าห้องอยู่ที่เมืองเนเปิลส์นี้ นอกจากห้องน้ำที่เวลาจะใช้ต้องทำใจนิดนึง (เอาจริงๆเราก็ขี้เกียจทำความสะอาดแบบจริงๆจังๆ แล้วก็ขี้เกียจจะไปคุยกับคนอื่นเพราะเราก็อยู่นี่ไม่นานอยู่แล้ว) มีเรื่องอื่นๆที่น่าขัดใจอยู่บ้าง เช่น เวลาเราใช้อ่างล้างหน้าในห้องของเรา หรือเวลา Niha ใช้อ่างล้างหน้าในห้องของเค้า น้ำเสียมันจะไหลซึมขึ้นมาตรงท่อระบายน้ำของฝักบัวในห้องของเรา ซึ่งกลิ่นมันจะเหม็นมาก แล้วก็บางวันห้องชั้นบนก็จะเรโนเวตห้องซึ่งเสียงมันจะดังมากๆ และบางทีสัญญาณไวไฟก็จะหายๆ =..=” แต่พอบอกเจ้าของห้องเช่าเค้าก็ดูไม่ได้มีท่าทียินดียินร้ายอะไรเท่าไหร่ ตอนแรกก็กลัวเน็ตจะพังซ้ำรอยห้องที่โรมมาก กลัวว่าจะหนีเสือปะจระเข้รึเปล่า แต่ว่าก็ถูๆไถๆมาได้จนจบ และตอนวันสอบที่ต้องสอบออนไลน์ สัญญาณก็ปกติดีตั้งแต่เริ่มจนสอบเสร็จ ถือว่าพระเจ้ายังเห็นใจ แต่ว่านอกนั้นก็อยู่สบายดีมาก แถมย่านที่เราอยู่ที่ชื่อว่า Chiaia ก็ยังเป็นย่านคนรวยของเมืองเนเปิลส์ที่สภาพดีมากๆ และยังอยู่ใกล้ชายหาดที่บรรยากาศและวิวดีไปอีก

ย่านริมทะเลของเมือง

หลังจากที่ผ่านมาเก้าวันและเราสอบวิชาสุดท้ายแบบออนไลน์เสร็จแล้ว เราก็ออกไปเดินเที่ยวเมืองเนเปิลส์แบบจริงๆจังๆอยู่สองวัน ซึ่งก็ไม่ได้มีแผนเที่ยวอะไรเป็นพิเศษ แค่เดินดูตามโซนต่างๆไปเรื่อยๆ เมืองเนเปิลส์นี้เรามาครั้งแรกตอนที่มาแวะเปลี่ยนรถไฟระหว่างทางที่เดินทางจากโรมไป Amalfi Coast ตอนนั้นได้เดินดูแถวใกล้ๆสถานีรถไฟแป๊บนึง แล้วก็ต้องรู้สึกช็อคเบาๆ เพราะว่าสภาพบ้านเมืองไม่เหมือนยุโรปเลย เหมือนเดินอยู่แถวโซนแออัดๆในกรุงเทพมากกว่า สภาพมันแออัดยัดเยียด เก่าๆโทรมๆ ไม่ค่อยเป็นระเบียบ และแอบดูน่ากลัวๆ แต่ตอนที่มาอยู่เนเปิลส์สิบวันนี้เรามาอยู่ในโซนชื่อ Chiaia ที่เป็นโซนคนรวย ซึ่งแว้บแรกที่ได้เห็นตอนที่เดินออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดินคือรู้สึกว้าวมาก ตึกรามบ้านช่องๆดูดี ดูแพง และสวย มีช็อปแบรนด์เนมตั้งเรียงราย เหมือนเมืองยุโรปดังๆทั้งหลายมาก คนละอย่างกับโซนรอบๆสถานีรถไฟเลย จริงๆแล้วเมืองเนเปิลส์นี้เป็นหนึ่งเมืองที่หลายๆคนบอกว่าอันตราย หนึ่งคือเพราะมีโจรลักเล็กขโมยน้อย มิจฉาชีพล้วงกระเป๋าอะไรอย่างนี้เยอะ และสองคือ เพราะเมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องมาเฟีย ขึ้นชื่อในที่นี้หมายความว่ามีบางโซนแถวนอกเมืองที่คนที่อาศัยอยู่ในโซนนั้นจะเป็นสมาชิก หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งมาเฟียต่างๆแทบทุกคนเลย ในเมืองเนเปิลส์นี้จะมีมาเฟียอยู่หลายๆแก๊ง พวกมาเฟียก็จะมีธุรกิจผิดกฏหมายต่างๆเช่นเช่นค้ายา เก็บส่วย กับลักลอบนำเข้าขยะมีพิษเอาไปฝังตามชนบทแบบผิดกฏหมาย จริงๆแล้วสมาชิกของมาเฟียจะไม่มายุ่งกับคนธรรมดาเท่าไหร่ แต่วันดีคืนดีก็จะมีสงครามระหว่างแก๊ง ทำให้มีการไล่ยิงกันตามที่ต่างๆในเมืองซึ่งรบกวนความเป็นอยู่ของคนปกติอยู่เนืองๆ Michael แฟลตเมทของเราเล่าให้ฟังว่าเวลาชาวเมืองเนเปิลส์พูดถึงมาเฟีย เค้าจะพูดด้วยเสียงกระซิบแบบระวังๆกัน อารมณ์เหมือนเวลาพ่อมดในเรื่องแฮร์รี พอตเตอร์พูดถึงลอร์ดโวลเดอร์มอร์ แล้วเค้าเล่าว่าคนที่เมืองนี้เวลาขี่มอเตอร์ไซค์ เค้าจะไม่ใส่หมวกกันน็อคกันด้วย เพราะว่าหนึ่ง คนที่ใส่หมวกกันน็อคอาจจะโดนสงสัยว่าเป็นโจรหรือเป็นมาเฟีย และสอง สมาชิกมาเฟียที่กลัวโดนตามฆ่าเวลาเห็นคนใส่หมวกกันน็อคขี่มอเตอร์ไซค์มาใกล้ๆ เค้าอาจจะคิดว่าคนๆนั้นกำลังจะมาฆ่าเค้า และอาจจะยิงใส่ได้ (ฟังดูน่ากลัวมาก) แต่ Michael บอกว่าทุกวันนี้เจ้าพ่อมาเฟียในเมืองโดนจับเข้าคุกไปเยอะแล้ว สถานการณ์ไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน แล้วก็ปกติแล้วคนที่เป็นสมาชิกแก๊งมาเฟียเค้าก็ไม่ได้มายุ่งอะไรกับคนธรรมดาอยู่แล้ว คนธรรมดาก็ใช้ชีวิตไปตามปกติไป

สภาพตึกรามบ้านช่องอันแออัดในหลายๆโซนของเมืองเนเปิลส์

จริงๆแล้วเมืองเนเปิลส์นี้ พูดตรงๆเลยว่าโดยรวมแล้วบ้านเมืองไม่สวยไม่เจริญตาเลย ส่วนใหญ่จะดูแออัดๆและเก่าๆโทรมๆ เหมือนเดินอยู่ตามย่านตึกแถวแออัดๆในกรุงเทพ แต่สำหรับเรา และอาจจะสำหรับอีกหลายๆคนด้วย สิ่งนี้ทำให้เนเปิลส์เป็นเมืองที่น่าสนใจ คือเหมือนได้เห็นของแปลกคือบ้านเมืองที่แออัดแบบประเทศโลกที่สามที่อยู่ในประเทศโลกที่หนึ่งในยุโรป แม้แต่ในถนนคนเดินสายท่องเที่ยวในตัวเมืองเก่าอย่างถนน Via del Tribunali กับถนน Via S. Gregorio Armeno ที่ขนาบข้างไปด้วยตึกโบราณสวยๆก็ยังดูแออัดและเก่าๆโทรมๆ ถ้าอยากดูอะไรที่สวยๆงามๆ เจริญหูเจริญตาต้องพุ่งไปที่โซน Chiaia เลย โซนนี้เป็นย่านคนรวยที่ตั้งอยู่ระหว่างชายทะเลกับเนินเขา นอกจากตึกรามบ้านช่องจะสวยงามแล้ววิวภูเขากับวิวทะเลยังสวยมากๆ แค่ได้เดินริมทะเล สูดกลิ่มลมชายหาด มองวิวทะเล วิวเกาะ วิวภูเขาไปวิสุเวียส กับวิวตัวเมืองสวยๆริมทะเลที่ตั้งเรียงกันอยู่บนเนินเขาก็ฟินแล้ว นอกจากนี้ จากโซน Chiaia เรายังสามารถนั่งรถรางขึ้นไปยังโซน Vomero ที่อยู่บนเนินเขาได้ด้วย ซึ่งโซนนี้ก็เป็นโซนคนรวยเหมือนกัน ตัวเมืองจะไม่ได้สวยเวอร์มากเหมือนใน Chiaia แต่ว่าจะมีสวนที่ชื่อว่า Villa Floridiana ที่เราสามารถเข้าไปเดินเที่ยวและไปดูวิวทะเลตรงจุดชมวิวได้ นอกจากนี้ จากโซน Vomero เราสามารถเดินขึ้นเขาไปอีกนิดเพื่อไปยังป้อมปราการ Castel Sant’Elmo ที่ตั้งอยู่บนยอดเนินได้ ซึ่งจากบนดาดฟ้าของป้อมปราการนี้เราจะเห็นวิวพาโนรามา 360 องศาของเมือง Naples และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และภูเขาไฟวิสุเวียสที่สวยมากๆ เป็นจุดที่เราประทับใจที่สุดในเมืองนี้เลย

ย่านใจกลางเมืองและโบสถ์ Chiesa del Gesù Nuovo

ย่าน Chiaia และ Vomero และ Castel Sant’Elmo

นอกจากนี้แล้ว อีกโซนนึงที่เราค่อนข้างชอบเป็นพิเศษก็คือโซน Quartieri Spagnoli (หรือ Spanish Quarters ในภาษาอังกฤษ) ที่อยู่ถัดจาก Chiaia ซึ่งโซนนี้ถ้าเราดูแผนที่เราจะเห็นว่าเค้าสร้างเป็นบล็อกๆแบบตาราง ถ้าเราได้เห็นของจริงจะตื่นตาตื่นใจกับความแออัดของมันมาก เพราะถนนมันจะเส้นแคบๆ แต่ตึกที่สร้างขนาบข้างจะสูง ทำให้ยิ่งดูแออัด แต่ก็ดูน่าเกรงขามแบบน่ากลัวๆไปอีกแบบ โซนนี้จะอยู่ติดกับถนน Via Toledo ซึ่งเป็นถนนคนเดินสายชอปปิ้งเส้นใหญ่เส้นยาวของเมืองเนเปิลส์ ทำให้มีนักท่องเที่ยวเยอะ ทำให้ในโซน Quartieri Spagnoli ฝั่งที่ใกล้กับ Via Toledo จะมีร้านอาหารและร้านกินดื่มเยอะมาก และบรรยากาศจะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว แต่ส่วนใหญ่แล้ว โซน Quartieri Spagnoli จะเป็นโซนที่ชาวเมืองที่จนๆอยู่กัน ทำให้นอกจากร้านอาหารและร้านกินดื่มต่างๆแล้ว เวลาเราเดินดูไปตามถนนเส้นแคบๆเหล่านี้ เราจะได้เห็นร้านขายของชำและร้านค้าจุกจิกต่างๆของชาวเมืองด้วย บางจุดก็จะมีชาวเมืองมานั่งคุยนั่งพักผ่อน ทำกิจกรรมต่างๆหน้าบ้านกัน แล้วเราก็จะเห็นชาวเมืองตากผ้าระโยงระยางไปตามหน้าต่างตึกต่างๆทั่วไปหมดเลย ซึ่งสำหรับเราแล้วเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย แต่บางคนก็บอกว่าในโซน Spanish Quarters จะมีสมาชิกมาเฟียอาศัยอยู่เหมือนกัน อาจจะอันตรายได้ เพราะฉะนั้นก็ควรหลีกเลี่ยงการถือกระเป๋าแบรนด์เนม แต่งตัวเวอร์วังเข้าไปเดินคนเดียวแบบไม่ดูตาม้าตาเรือในทางเดินเปลี่ยวๆที่ไกลจากบริเวณใกล้ๆถนน Via Toledo ที่คนพลุกพล่าน

ถนน Via Toledo

ย่าน Quartieri Spagnoli

ใน Quartieri Spagnoli นี้จะมีจุดๆหนึ่งที่เป็นเหมือนร้านเหล้ากลางแจ้งที่อยู่ตรงมุมตึกสองตึก ซึ่งบนผนังตึกจะมีรูปของ Maradona ที่เป็นนักบอลในตำนานคนหนึ่งถูกวาดไว้ด้วยขนาดที่ใหญ่มาก และบริเวณรอบๆนั้นก็จะมีรูปวาดอื่นๆของ Maradona ถูกวาดไว้เต็มไปหมด Maradona จะเป็นที่รักของชาวเมืองเนเปิลส์มากๆ จะเรียกว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองเนเปิลส์เลยก็ว่าได้ เพราะว่าในสมัยก่อน ชาวอิตาลีจากเมืองทางเหนือๆที่เจริญกว่าและรวยกว่าเมืองทางใต้อย่างเมืองเนเปิลส์จะชอบเหยียดเมืองเนเปิลส์แล้วก็ดูถูกทีมฟุตบอลว่าอ่อนอะไรอย่างนี้ แล้วก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ Maradona เริ่มจะฝีมือตกๆ แต่ช่วงนั้น Maradona ก็ถูกซื้อตัวให้มาเล่นให้ทีมฟุตบอลของเมืองเนเปิลส์ แล้วตั้งแต่นั้นมาก็เหมือนกับ Maradona ก็มาแรงอีกครั้งและยังพาทีมฟุตบอลของเมืองเนเปิลส์ชนะรัวๆ และชนะรางวัลใหญ่ๆมากมาย ตบหน้าแฟนบอลชาวอิตาลีทางตอนเหนือที่ชอบดูถูกทีมบอลเมืองเนเปิลส์รัวๆ ชัยชนะเหล่านี้ทำให้ชาวเมืองเนเปิลส์ที่เคยรู้สึกเหมือนถูกเหยียดมาตลอดเริ่มกลับมารู้สึกมีความหวัง มีความภูมิใจในทีมบอลของตัวเองอีกครั้ง มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นตัว Maradona เด็กๆที่เกิดและเติบโตในชุมชนแออัดของเมืองเนเปิลส์ที่เมื่อก่อนปกติมักจะถูกชักชวนไปในทางที่ไม่ดี ไปติดยาหรือไม่ก็ไปเข้าแก๊งมาเฟีย ก็เริ่มกลายเป็นว่ามี Maradona ที่โตมาในสลัมเหมือนกันแต่ก็ยังเป็นนักฟุตบอลที่เก่งระดับตำนานได้เป็นฮีโร่ ทำให้เด็กๆหันไปเล่นบอลแทนอบายมุขต่างๆแทน สิ่งเหล่านี้ทำให้ Maradona กลายเป็นไอดอลของชาวเมืองเนเปิลส์ ทำให้ทุกวันนี้เราสามารถพบเห็นรูปวาดรูป Maradona ตามจุดต่างๆในเมืองเนเปิลส์ได้ทั่วไป

รูปวาดรูป Maradona ตามจุดต่างๆในเมือง

พูดถึงเรื่องฟุตบอลแล้ว ช่วงที่เรามาแลกเปลี่ยนที่อิตาลีนี้เป็นช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลยูโรอยู่พอดี และเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เราจะย้ายมาอยู่เนเปิลส์ ทีมชาติของประเทศอิตาลีก็เพิ่งผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปหมาดๆ ซึ่งชาวเมืองในกรุงโรมก็ออกมาจุดพลุ ขับรถบีบแตร ไชโยโห่ร้องเฉลิมฉลองตามถนนกันเต็มไปหมด และการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศก็ถูกจัดขึ้นในช่วงที่เรากำลังมาเช่าห้องในเมืองเนเปิลส์อยู่พอดี ตอนนั้นก็ลุ้นมากๆ อยากให้อิตาลีชนะเลิศ จะได้เห็นบรรยากาศการเฉลิมฉลองอย่างมีความสุขของคนที่นี่ คือที่โรมเราก็ได้เห็นมาแล้ว อยากเห็นของที่เนเปิลส์บ้างอะไรอย่างนี้ ตอนคืนวันแข่งขันเราก็ดูอยู่ที่บ้าน รอบนั้นเปิดเกมมาไม่กี่นาที อังกฤษยิงเข้าไปก่อนเลย เสียงคนร้องอู้วด้วยความช็อคดังทั่วเมือง 555 แล้วก็ค้าง 1-0 อยู่อย่างนั้นอยู่จนเกือบจบเกม ตอนนั้นเกือบจะทำใจแล้วว่าอาจจะแพ้แล้วมั้ง แต่แล้วในที่สุดอิตาลีก็ยิงตามมาเป็น 1-1 ได้ ความหวังกลับมา แต่ก็ค้างอยู่อย่างนั้น เกือบๆจะยิงเข้าแต่ก็ไม่เข้าซักที ลุ้นหายใจไม่ทั่วท้องไปจนสุดท้ายตอนยิงจุดโทษก็ยิ่งลุ้นหนักขึ้น ชาวอิตาลีทั้งประเทศคงเกร็งมือชาเท้าชากันทั้งประเทศแล้วตอนนั้น 555 แต่แล้วในที่สุดชัยชนะก็เป็นของอิตาลี!!! ดีใจมากๆอย่างบอกไม่ถูก รีบเก็บข้าวของวิ่งออกมานอกบ้าน ได้ยินเสียงจุดพลุดังจากที่ไกลๆ แล้วเราก็เดินไปตรง Piazza Trieste e Trento ซึ่งมีคนมารวมตัวกันเยอะมาก แล้วก็ทั้งตะโกนโห่ร้อง ร้องเพลง กระโดดดีใจ จุดไฟเย็น จุดพลุ แล้วยังมีคนขี่มอเตอร์ไซค์บีบแตรกันไปตามถนนเป็นกองทัพแน่นไปหมด นึกว่าไม่ได้อยู่ยุโรป นึกว่าอยู่เวียดนาม 555 มอเตอร์ไซค์เยอะมากๆ บรรยากาศตอนนั้นคือสุดยอดมากๆ มีแต่ความสุขความปลิ้มปิติ ทุกคนออกมาเฉลิมฉลอง เสียงบีบแตรและเสียงร้องเพลงไชโยดังอย่างต่อเรื่องราวกับว่าคืนแห่งชัยชนะนั้นจะยืนยาวต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เราโชคดีมากๆที่ได้มาอยู่ในประเทศอิตาลีในช่วงที่เค้าชนะบอลยูโรพอดีและได้สัมผัสกับบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองทั้งเมืองอย่างนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่เมื่อปีที่แล้ว ประเทศอิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศที่โดนผลกระทบจากโควิดอย่างหนักมากๆ การที่หนึ่งปีต่อมาเราได้เห็นประเทศนี้กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม ได้เห็นชัยชนะ ได้เห็นบรรยากาศการเฉลิมฉลองแบบนี้ และเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของทุกๆคน ณ ที่นั้นในวันนั้น ทำให้หัวใจเราพองโตแบบบรรยายออกมาไม่ถูกเลย มันเป็นบรรยากาศที่ไม่รู้ว่าในชีวิตนี้จะได้สัมผัสอีกมั้ย และถ้าทำได้ก็อยากจะล็อคเก็บบรรยากาศเหล่านั้นเอาไว้ในความทรงจำของเราไว้ตลอดไป คืนนั้นเราอัดวิดีโอไว้แล้วเอามาตัดต่อรวมๆกันแล้วอัพลงยูทูบไว้ด้วย ตามเข้าไปเสพย์บรรยากาศกันได้

สิบวันในเมืองเนเปิลส์ผ่านไป ทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่อัดแน่นไปด้วยความประทับใจมากมาย ทั้งในเรื่องของการฉลองชัยชนะบอลยูโร และในเรื่องของอาหารที่อร่อยๆมากมาย ไม่ใช่แค่พิซซ่าที่อร่อย แต่อาหารเมนูอื่นๆของที่นี่ก็อร่อยมาก และราคาถูกกว่าที่กรุงโรม และที่เราชอบก็คือ เมนูพาสตาของที่นี่จะไม่เหมือนของร้านที่กรุงโรมเลย คือในร้านที่กรุงโรม เวลาเราไปร้านไหนๆเมนูก็จะคล้ายๆกันไปหมด แต่ที่เนเปิลส์เค้าจะมีเมนูอาหารท้องถิ่นของเค้าเองที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย ถ้ามีเวลาและมีเงินมากกว่านี้ก็อยากจะตระเวณกินไปเรื่อยๆให้หนำใจเลย 555

สรุปความประทับใจของเมืองเนเปิลส์ เมืองนี้อาจจะไม่ได้มีบ้านเรือนที่สวยเมื่อเทียบกับเมืองดังๆอื่นๆในประเทศอิตาลี แต่ว่าเมืองนี้มีอาหารที่อร่อย และมีพิซซ่าที่อร่อยมากๆจนทำให้คนที่เฉยๆกับพิซซ่ากลายเป็นชอบกินพิซซ่าไปได้ และนอกจากนั้น บริเวณใกล้ๆของเมืองเนเปิลส์ยังมีที่เที่ยวที่สวยๆและน่าเที่ยวมากมาย เช่น Amalfi Coast, เกาะ Capri, เกาะ Procida, เกาะ Ischia, เมืองปอมเปอี และภูเขาไฟวิสุเวียส ที่เราสามารถไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับโดยใช้เมืองเนเปิลส์เป็นที่พักได้ ด้วยงบและเวลาที่จำกัดทำให้เราไม่ได้ไปเที่ยวตามที่ต่างๆเหล่านี้ แต่ว่าแค่การได้เดินดูสภาพบ้านเมืองที่แออัดและแปลกตาของเมืองเนเปิลส์ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆสำหรับเราแล้ว เรามั่นใจว่าในอนาคตเราจะต้องได้กลับมาที่นี่อีกแน่นอน เพราะยังมีพิซซ่าอีกหลายหน้ามากๆในร้าน “A ogge a 8” ที่เรายังไม่ได้ลองด้วย 555 เอาเป็นว่าขอจบโพสต์นี้กับความประทับใจของเมืองเนเปิลส์ไว้ตรงนี้ก่อน แล้วเดี๋ยวกลับมาติดตามกันต่อในโพสต์หน้าโนะ ต้องรีบๆเขียนไล่ตามหลังละเพราะตอนนี้เรื่องราวในบล็อกอัพเดตช้ากว่าชีวิตจริงไปเยอะมาก แต่ว่าจะอยากจะเขียนบันทึกเรื่องราวและความประทับใจในอิตาลีไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

Leave a comment